วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553

PA604: การวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ2

การวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ 2
--------------------------------
การวิเคราะห์นโยบายสาธารณะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเรียนรัฐศาสตร์ เนื่องจากนโยบายสาธารณะมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการเมือง เพราะฝ่ายการเมืองทำหน้าที่กำหนดนโยบาย ข้าราชการประจำทำหน้าที่นำนโยบายไปปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ

ตัวแบบในการวิเคราะห์นโยบาย (Model for Policy Analysis)

โธมัส อาร์.ดาย (Thomas R. Dye) ได้นำเสนอตัวแบบในการวิเคราะห์นโยบายสาธารณะไว้ในหนังสือชื่อ Understanding Public Policy (หน้า 76) ตัวแบบทั้ง 9 ที่กล่าวไว้ตอนต้นปรากฏอยู่ในบทที่ 2 ของหนังสือเล่มนี้ (หน้า 92) ซึ่งในช่วงแรกดายนำเสนอเพียงไม่กี่ตัวแบบ แต่พอสังคมสลับซับซ้อนมากขึ้นเขาเริ่มเห็นว่ายังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์การกำหนดนโยบายได้มากขึ้นจึงมีตัวแบบต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ตัวแบบมีเหตุผล ตัวแบบส่วนเพิ่ม ตัวแบบทฤษฎีเกม ตัวแบบทางเลือกสาธารณะ ตัวแบบเหล่านี้เป็นตัวแบบที่ง่ายและชัดเจนที่จะทำความเข้าใจทั้งระบบการเมืองและนโยบายสาธารณะ ได้แก่

1. ตัวแบบสถาบัน (Institutional Model) ดายมองว่านโยบายเป็นผลผลิตของสถาบัน หมายความว่านโยบายสาธารณะถูกกำหนดขึ้นจากสถาบันหลักของรัฐ ผู้วิเคราะห์ต้องทำความเข้าใจว่าในประเทศนั้น ๆ มีสถาบันใดบ้างเป็นสถาบันหลัก สถาบันเหล่านี้มีหน้าที่อย่างไร อย่างในสหรัฐอเมริกาที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยระบบประธานาธิบดี สถาบันสำคัญมีสามฝ่ายคือฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ การศึกษาจากตัวแบบนี้จะดูว่าสถาบันของทั้งสามฝ่ายมีบทบาทเกี่ยวข้องกับนโยบายสาธารณะอย่างไร มีการตรวจสอบถ่วงดุลกันอย่างไร

ตัวอย่างข้อสอบ

การนำตัวแบบสถาบันไปวิเคราะห์นโยบายสาธารณะใดก็ตามต้องหาคำตอบให้ได้ว่านโยบายนั้นมีสถาบันใดเข้าไปมีบทบาทในการกำหนดนโยบาย สถาบันใดรับผิดชอบนำนโยบายนั้นไปปฏิบัติ สถาบันใดทำหน้าที่บังคับใช้นโยบายในสังคม เช่น สภาผู้แทนราษฎรออก พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ หน่วยงานที่รับผิดชอบในการนำนโยบายไปปฏิบัติคือกรมการขนส่ง กรมการประกันภัย หน่วยงานที่บังคับใช้คือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

2. ตัวแบบกระบวนการ (Process Model) มองว่านโยบายสาธารณะเป็นกิจกรรมทางการเมือง เนื่องจากในทุก ๆ ขั้นตอนของกระบวนการนโยบายจะมีการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเสมอ
กระบวนการนโยบายสาธารณะประกอบไปด้วยขั้นตอนสำคัญ 6 ขั้นตอนคือ
2.1 การระบุปัญหา เป็นการศึกษาว่าในขณะนี้ประชาชนประสบปัญหามีความเดือดร้อนเรื่องอะไร บางครั้งข้าราชการประจำจะทำหน้าที่ในส่วนนี้ ลงพื้นที่เพื่อดูว่าประชาชนเดือดร้อนเรื่องอะไรบ้าง
2.2 การกำหนดเป็นวาระสำหรับการตัดสินใจ ในความเป็นจริงปัญหาที่เกิดขึ้นกับประชาชนมีมากมาย เมื่อปัญหาหนึ่งได้รับการแก้ไขปัญหาหนึ่งก็เกิดขึ้นตามมา และในบรรดาปัญหาหลากหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันจำเป็นเร่งด่วนพอ ๆ กัน แต่งบประมาณในการแก้ไขปัญหามีจำกัดจึงจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญของปัญหา ในขั้นนี้การเมืองก็เข้ามาเกี่ยวข้อง
2.3 การกำหนดข้อเสนอนโยบาย เมื่อปัญหาได้รับการยอมรับจะถูกนำมาพิจารณาว่ามีแนวทางแก้ไขปัญหาได้กี่แนวทาง เรียกว่าข้อเสนอ/ทางเลือกนโยบายที่มีอยู่หลายทางเลือก โดยหลักการแล้วจะต้องวิเคราะห์แต่ละทางเลือกว่ามีประโยชน์อย่างไร
2.4 การอนุมัตินโยบาย ทางเลือก/ข้อเสนอนโยบายที่ให้ประโยชน์สูงสุดจะถูกอนุมัติออกมาเป็นนโยบาย การที่ทางเลือก/ข้อเสนอใดจะได้รับเลือกย่อมมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
2.5 การดำเนินนโยบาย นโยบายที่ได้รับการอนุมัติจะถูกนำไปปฏิบัติ มีส่วนราชการและข้าราชการประจำเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งเราพบความจริงเสมอว่าในขั้นนี้หลายครั้งที่ข้าราชการการเมืองเข้ามาแทรกแซงการทำงานของข้าราชการประจำที่เรียกกันว่า “ล้วงลูก”
2.6 การประเมินผลนโยบาย เมื่อดำเนินนโยบายแล้วเสร็จต้องประเมินผลนโยบายเพื่อจะรับทราบว่าการดำเนินนโยบายดังกล่าวบรรลุวัตถุประสงค์มากน้อยเพียงใด ข้อมูลที่ได้จากการประเมินผลจะนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการตัดสินใจต่อไปว่านโยบายนั้น ๆ ควรได้รับการดำเนินการอย่างต่อเนื่องต่อไป ควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไร หรือควรยุติแล้วกำหนดนโยบายอื่นออกมาก ขั้นนี้การเมืองก็เข้าไปเกี่ยวข้องแทรกแซง เช่น ให้ประเมินผลออกมาในทางบวกว่าประชาชนพึงพอใจมากที่สุด

ด้วยเหตุนี้โธมัส ดาย จึงมองว่านโยบายสาธารณะเป็นกิจกรรมทางการเมือง ในกระบวนการนโยบายทุกขั้นตอนมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ

ตัวอย่างข้อสอบ
ถ้านักศึกษาจะนำตัวแบบกระบวนการไปวิเคราะห์นโยบายสาธารณะต้องพิจารณาว่าในกระบวนการนโยบายแต่ละขั้นตอนมีการดำเนินการใด การเมืองเข้าไปยุ่งเกี่ยวในลักษณะใด

3. ตัวแบบกลุ่ม (Group Model) มองว่า นโยบายสาธารณะคือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงดุลยภาพระหว่างกลุ่ม ในสังคมมีกลุ่มต่าง ๆ ที่มีความต้องการหลากหลาย ผู้กำหนดนโยบายพยายามประนีประนอมผลประโยชน์ของกลุ่มต่าง ๆ ที่มีอยู่ในสังคมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่บางครั้งกลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่มมีพลังการต่อรองมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ทำให้นโยบายสาธารณะถูกกำหนดมาเอนเอียงไปหาผลประโยชน์ของกลุ่มนั้น ลองนึกภาพแม่ค้าใช้คานหาบของ ถ้าตะกร้าสองใบหนักไม่เท่ากันตัวแม่ค้าจะต้องเข้าใกล้ตะกร้าใบที่หนักกว่าเพื่อน้ำหนักจะได้สมดุล นโยบายสาธารณะก็เช่นเดียวกันที่ต้องเอนเอียงไปหาผลประโยชน์ของกลุ่มที่มีพลังต่อรองมากกว่า เช่น กลุ่มนายทุนเรียกร้องให้รัฐบาลสร้างที่จอดรถกลางเมือง ในขณะที่กลุ่มอนุรักษ์เรียกร้องให้รัฐบาลสร้างสวนสาธารณะ กลุ่มนายทุนมีอิทธิพลมากกว่ากลุ่มอนุรักษ์รัฐบาลก็ต้องสร้างที่จอดรถ แต่ถ้าเหตุการณ์เปลี่ยนกลุ่มอนุรักษ์มีอิทธิพลเพิ่มขึ้นเท่า ๆ กับกลุ่มนายทุนรัฐบาลก็ต้องเปลี่ยนนโยบายเพื่อประสานประโยชน์ทั้งสองกลุ่มให้ได้ เช่น บนดินเป็นสวนสาธารณะใต้ดินเป็นที่จอดรถ เกิดความสมดุลระหว่างกลุ่ม (Group Equilibrium)

ตัวอย่างข้อสอบ

ถ้านักศึกษานำตัวแบบกลุ่มไปวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ จะต้องสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่านโยบายนั้นเป็นการต่อสู้ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม และนโยบายที่ออกมานั้นชี้ให้เห็นว่ากลุ่มใดที่มีอิทธิพลมากกว่ากลุ่มอื่น เช่น พาดหัวข่าว “ห้ามยักษ์ค้าปลีกรุกชุมชน โชว์ห่วยลั่น 15 วันต้องแก้” เป็นการขัดแย้งกันในผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มค้าปลีกกับกลุ่มโชว์ห่วย ต้องดูว่ารัฐบาลตัดสินใจออกมาในลักษณะใด เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มใดมากกว่า

4. ตัวแบบผู้นำ (Elite Model) มองว่า นโยบายสาธารณะสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการหรือรสนิยมของผู้นำ (ไม่ใช่ความต้องการของประชาชน) ผู้นำ (Elite) เป็นคนกลุ่มเล็ก ๆ ในสังคมที่มีอำนาจทางการเมือง แต่ประชาชนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่กลับไม่มีอำนาจทางการเมือง ดังนั้นผู้นำจะกำหนดนโยบายที่เอื้อประโยชน์หรือตอบสนองความต้องการของผู้นำแล้วสั่งการลงมาสู่ข้าราชการให้ทำหน้าที่นำนโยบายไปปฏิบัติให้บรรลุผล ผลของการดำเนินนโยบายจะตกอยู่กับประชาชนในลักษณะของ Top Down โดยประชาชนไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมใด ๆ เลย เช่น ภาพยนตร์ไทยเรื่องโหมโรงสะท้อนให้เห็นการกำหนดนโยบายตามตัวแบบผู้นำ เมื่อผู้นำทางการเมืองห้ามการเล่นดนตรีไทย ห้ามแสดงลิเกในที่สาธารณะ แต่ประชาชนอยากจึงแสดงกันแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ นโยบายนี้จึงไม่ได้สะท้อนความต้องการของประชาชนเป็นเพียงความต้องการของผู้นำเท่านั้น

นโยบายที่กำหนดออกมาจากความต้องการของผู้นำฝ่ายเดียวไม่สนใจความต้องการของประชาชนจะทำให้นโยบายนั้นถูกต่อต้านเป็นระยะ ๆ เช่น โครงการท่อก๊าซ หรือการก่อสร้างประตูระบายน้ำลำน้ำปิงที่คัดค้านกันมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว นโยบายนี้เกิดจากการประชุมรัฐมนตรีนอกสถานที่ที่เชียงใหม่แล้วที่ประชุมยกปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่ขึ้นมา พื้นที่ที่จะก่อสร้างเป็นพื้นที่ของเมืองโบราณเวียงกุมกามที่กำลังเสนอให้เป็นมรดกโลก ถ้าดำเนินการก่อสร้างก็จะไปขัดกับ พ.ร.บ.โบราณสถาน แต่ ครม.กลับอนุมัติโครงการออกมาโดยที่ประชาชนในพื้นที่ไม่ได้มีส่วนร่วมรู้เห็นเลย แถมมีเบื้องลึกว่ามีนักธุรกิจสร้างรีสอร์ทอยู่ต้นน้ำ การมีฝายกั้นน้ำเป็นระยะ ๆ ทำให้เรือบรรทุกนักท่องเที่ยวไปถึงรีสอร์ทไม่สะดวกจำต้องรื้อฝาย

5. ตัวแบบมีเหตุผล (Rational Model) มองว่า นโยบายสาธารณะเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงผลประโยชน์สูงสุดต่อสังคมส่วนรวม นโยบายสาธารณะใด ๆ ก็ตามที่ถูกกำหนดขึ้นมาต้องเป็นนโยบายที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดในทุก ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และเกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่ายทุกกลุ่มในสังคม

ในขั้นตอนตัดสินใจกำหนดนโยบายตามตัวแบบมีเหตุมีผลต้องผ่านขั้นตอนอย่างละเอียด ดังนี้
5.1 ปัจจัยนำเข้าที่ใช้ประกอบในการตัดสินใจ ผู้ตัดสินใจต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับทรัพยากรทั้งหมด ต้องรู้ว่ามีทรัพยากรทั้งหมดมีจำนวนเท่าไหร่ เป็นประเภทใดบ้าง ต้องมีข้อมูลครบถ้วนทุกประเภท อย่างนักศึกษาตัดสินใจซื้อรถยนต์สักคันเบื้องต้นต้องรู้ว่าตัวเองมีเงินเท่าไหร่ รวมเงินบำรุงรักษารถยนต์ตลอดอายุการใช้งานด้วย มีข้อมูลรถยนต์ที่ต้องการจะซื้อตามสเป็ก หาข้อมูลให้ครบทุกยี่ห้อ
5.2 ในกระบวนการตัดสินใจต้องกำหนดเป้าหมายที่สมบูรณ์ในการดำเนินงาน ต้องรู้ว่าประชาชนมีปัญหาอะไรบ้างต้องรู้ครบทุกปัญหา การแก้ไขปัญหาเหล่านั้นมีเป้าหมายอย่างไรบ้าง และต้องให้ค่าน้ำหนักเพื่อจะทราบว่าปัญหาใดมีความสำคัญมากน้อยกว่ากันอย่างไร ขั้นตอนนี้ถือเป็นความยากที่จะรู้ปัญหาของประชาชนทุกปัญหา ยิ่งการให้ค่าน้ำหนักยิ่งยากที่จะบอกว่าปัญหาใดสำคัญกว่ากัน ปัญหาหนึ่ง ๆ จะสำคัญแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่
5.3 กำหนดค่านิยมและทรัพยากรอื่น ๆ ให้ครบพร้อมให้ค่าน้ำหนัก เช่น ความเชื่อ วัฒนธรรม การให้ค่าน้ำหนักคือการจัดลำดับความสำคัญเพื่อจะดูว่าอะไรสำคัญมากน้อยกว่ากัน
5.4 เตรียมทางเลือกในการแก้ไขปัญหาให้ครบทุกทางเลือก
5.5 คาดคะเนผลที่จะเกิดขึ้น ค่าใช้จ่ายที่จะใช้ในแต่ละทางเลือก

5.6 คำนวณผลสุดท้ายของแต่ละทางเลือก
5.7 เปรียบเทียบผลของแต่ละทางเลือก เลือกทางเลือกที่เกิดผลประโยชน์สูงสุด ทางเลือกนี้จะถูกนำไปกำหนดเป็นนโยบายสาธารณะ

แต่ในทางปฏิบัติจริงการดำเนินการในลักษณะเหล่านี้ต้องใช้เวลานานมาก แค่เราจะซื้อรถยนต์สักคันคงไม่คิดมากขนาดนี้ เรามักจะมีตัวเลือกอยู่ในใจอยู่แล้วแค่หาข้อมูลมาประกอบเพื่อบ่งชี้ว่าเราได้เลือกแล้ว หรือการดำเนินงานในส่วนราชการ เช่น คัดเลือกบุคลากรไปดูงานต่างประเทศ ถ้าใช้ Rational Model ก็ต้องมีเกณฑ์คุณสมบัติ ดูว่าผู้ที่เข้าเกณฑ์เหล่านี้มีใครบ้างให้มาสอบแข่งขันกันเพื่อหา The Best ที่จะได้รับทุน แต่ในความเป็นจริงไม่ได้ทำแบบนี้ การตัดสินใจตามตัวแบบมีเหตุมีผลทำได้ยาก เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย บางครั้งผู้วิเคราะห์อาจไม่มีความรู้เพียงพอในการวิเคราะห์ แต่ถ้าทำได้จะดีมากเพราะทุกอย่างได้ผ่านการกลั่นกรอง วิเคราะห์ พิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว

6. ตัวแบบส่วนเพิ่ม (Incremental Model) หรือตัวแบบเฉพาะส่วนที่เปลี่ยนแปลง มองว่า นโยบายสาธารณะคือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินการในอดีต การกำหนดนโยบายมักจะนำนโยบายในอดีตมาเป็นเกณฑ์ เมื่อก่อนทำอะไรก็ปรับปรุง ดัดแปลง แก้ไขออกมาเป็นนโยบายใหม่ ในทางวิชาการมองว่าตัวแบบส่วนเพิ่มเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองที่ดี เช่น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคไม่ใช่นโยบายใหม่แต่เป็นการแต่งตัวใหม่ เพราะในอดีตรัฐบาลมีนโยบายด้านสุขภาพอยู่แล้ว แค่นำมาดัดแปลงแล้วนำเสนอในชื่อใหม่เท่านั้น

การใช้ตัวแบบส่วนเพิ่มในการวิเคราะห์นโยบายจะต้องดูว่า นโยบายที่กำลังวิเคราะห์อยู่นี้เคยมีมาแล้วในอดีตหรือไม่ ถ้ามีในอดีตมีลักษณะใด นำมาปรับปรุง เพิ่มเติม แก้ไขออกมาเป็นนโยบายใหม่อย่างไร
ตัวแบบส่วนเพิ่มมีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติมากกว่าเพราะไม่ต้องศึกษาหาข้อมูลกันใหม่ทั้งหมด และเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองที่ดีเนื่องจากการกำหนดนโยบายใหม่ ๆ ออกมาเลยอาจทำให้เกิดการคัดค้านต่อต้าน แต่ถ้าดัดแปลงจากของเดิมค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เคยทำมาแล้วการคัดค้านจะมีน้อยกว่า ประชาชนยอมรับได้ง่ายขึ้น

7. ตัวแบบทฤษฎีเกม (Game Theory Model) มองว่า นโยบายสาธารณะที่ถูกกำหนดออกมาเป็นทางเลือกที่มีเหตุผลท่ามกลางสถานการณ์ที่มีการแข่งขัน อย่างในการเล่นเกมต้องมีผู้เล่นสองฝ่ายขึ้นไป เราไม่อาจรู้ได้ว่าคู่แข่งของเราคิดอะไรและจะทำอะไร ได้แต่คาดเดาว่าเขาน่าจะทำอย่างนั้นน่าจะทำอย่างนี้ แล้วเราก็ตัดสินใจกำหนดนโยบายตามการคาดเดาดังกล่าว เป็นการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลแล้วแต่อาจทำให้เราแพ้หรือชนะก็ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าคู่แข่งคิดอะไร ถ้าแพ้ก็เสียหายน้อยหน่อยเนื่องจากได้พิจารณามารอบคอบแล้ว เช่น การขับรถบนถนนเลนเดียวที่วิ่งสวนทางกันไม่ได้ เมื่อมีรถสองคันขับเข้ามาประจันหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างเดาใจกัน ถ้าเราลุยฝ่ายตรงข้ามหลบเราก็ชนะฝ่ายตรงข้ามแพ้แบบเสียหายน้อย ถ้าเราหลบฝ่ายตรงข้ามลุยเราแพ้แบบเสียหายน้อย ถ้าต่างฝ่ายต่างหลบลงข้างทางทั้งคู่ก็เสียหายน้อย แต่ถ้าต่างคนต่างลุยย่อมเสียหายมหาศาลถึงขั้นบาดเจ็บล้มตายได้

ตัวแบบทฤษฎีเกมมักใช้ในนโยบายป้องกันประเทศ เช่น จะส่งทหารไปร่วมรบในอิรักดีหรือไม่ จะส่งผลต่อประเทศชาติอย่างไร การวิเคราะห์ในกรอบนี้จะต้องมีผู้เกี่ยวข้องสองฝ่าย สถานการณ์ กลยุทธ์การตัดสินใจที่แต่ละกลยุทธ์จะให้ผลไม่เท่ากันเพราะเราควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ตัวอย่างที่เห็นบ่อย ๆ คือการ Quiz ของอาจารย์ที่นักศึกษาต้องเดาว่าจะ Quiz คาบ 1, 2, 3 หรือไม่ Quiz เลย สิ่งที่นักศึกษาทำได้คือกลยุทธ์ของนักศึกษาว่าจะมาเรียนหรือไม่มาเรียน

หรือนักศึกษาจะตัดสินใจลงทุนเปิดร้านอาหารสองร้าน ค่าเงินบาท อัตราดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ถ้าเปิดสองร้านแล้วดอกเบี้ยถูกมีโอกาสที่จะได้กำไร เปิดสองร้านดอกเบี้ยแพงก็เจ๊ง เปิดร้านเดียวถ้าดอกเบี้ยถูกก็กำไรน้อย เปิดร้านเดียวดอกเบี้ยแพงก็ขาดทุนน้อย

8. ตัวแบบทางเลือกสาธารณะ (Public Choice Model) ในวิชา 705 อาจารย์เคยสอนเรื่องทฤษฎีทางเลือกสาธารณะมาแล้วที่มองว่า ปัจเจกบุคคลแต่ละคนมีเหตุผล ในความมีเหตุผลทุกคนย่อมแสวงหาอรรถประโยชน์สูงสุดให้กับตนเอง นักการเมืองอยากได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง ผู้บริโภคอยากได้สินค้าและบริการที่ถูกที่สุดดีที่สุด ข้าราชการอยากได้ชื่อเสียงเกียรติยศตำแหน่ง ตัวแบบทางเลือกสาธารณะจึงมองว่านโยบายสาธารณะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจร่วมกันโดยคำนึงถึงความต้องการของปัจเจกบุคคล จึงต้องเปิดทางเลือกหลาย ๆ ทางให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ตรงความต้องการมากที่สุด ด้วยความเชื่อที่ว่าทุกคนย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง เช่น นโยบายถ่ายโอนภารกิจของรัฐบางภารกิจให้เอกชนดำเนินการ มีเอกชนหลายหน่วยงานเข้ามาดำเนินการในภารกิจนั้นในรูปแบบที่หลากหลาย ทำให้ประชาชนได้เลือกใช้บริการรูปแบบที่ตรงใจตนเองมากที่สุด อย่างโทรศัพท์ก็มีหลายเครือข่ายให้เลือก

9. ตัวแบบระบบ (Systems Model) มองว่า นโยบายสาธารณะเป็นผลผลิตของระบบ ตามภาพ

จากแผนภาพอธิบายได้ว่า ปัจจัยนำเข้าอาจจะเป็นข้อเรียกร้องต้องการ (Demands) หรือการสนับสนุนจากประชาชน (Supports) จะถูกนำเข้าสู่ระบบการเมืองเพื่อกลั่นกรองแล้วตัดสินใจออกมาเป็นนโยบายสาธารณะ ดังนั้นนโยบายสาธารณะจึงเป็นผลผลิตของระบบ ผลของนโยบายจะตกอยู่กับประชาชน โดยจะประเมินว่านโยบายดังกล่าวตอบสนองความต้องการของประชาชนได้มากน้อยเพียงใดจาก Feedback ที่ย้อนกลับมา เช่น คนกรุงเทพฯ มีปัญหาการจราจรติดขัดอยากให้รัฐบาลสร้างถนนเพิ่ม จากนั้นก็ประเมินผลว่าสร้างถนนแล้วการจราจรยังติดขัดอีกหรือไม่ ถ้ายังติดขัดอยู่ก็เป็น Feedback กลับเข้าสู่รัฐบาลอีกรอบหนึ่ง รัฐบาลก็ต้องคิดว่าควรแก้ไขหรือกำหนดนโยบายใดออกมา

ตัวแบบระบบสามารถนำไปวิเคราะห์ได้หลากหลายจนกลายเป็นตัวแบบอเนกประสงค์ แต่อาจารย์อยากให้ใช้ตัวแบบอื่นมากกว่าตัวแบบนี้ง่ายเกินไป

ทั้ง 9 ตัวแบบที่กล่าวไปจะให้คำตอบได้ว่าใครเป็นผู้กำหนดนโยบายสาธารณะ ใช้หลักเกณฑ์ใดในการกำหนด บางตัวแบบใช้วิเคราะห์ได้บางนโยบาย เช่น ตัวแบบกลุ่ม ตัวแบบผู้นำ ตัวแบบส่วนเพิ่ม บางตัวแบบวิเคราะห์ได้ทุก ๆ นโยบาย เช่น ตัวแบบสถาบัน ตัวแบบกระบวนการ ตัวแบบระบบสามารถนำไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง ตัวแบบมีเหตุผลแทบจะใช้ไม่ได้เลยในสภาพความเป็นจริง ตัวแบบทฤษฎีเกมใช้สำหรับนโยบายการป้องกันประเทศ

การศึกษานโยบายโดยการวิเคราะห์

สิ่งจำเป็นในการวิเคราะห์นโยบายคือ

1. นโยบายต้องอาศัยข่าวสาร 3 ระดับ ได้แก่
1.1 Facts ข้อเท็จจริง คือ การพิจารณาจากเหตุการณ์/สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสังคม ดูว่าปัญหาเกิดขึ้นกับใคร เช่น ในชุมชนเมืองต้องมีปัญหาขยะจำนวนมหาศาล ปัญหาโสเภณีเด็ก ผู้ทำหน้าที่วิเคราะห์นโยบายจะต้องทำความเข้าใจปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมและปัญหาเหล่านั้นต้องถูกนำไปแก้ไขโดยการกำหนดนโยบายสาธารณะขึ้นมา
1.2 Values ค่านิยม เป็นการพิจารณาเชื่อมโยงกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่าปัญหานั้นเกิดจากค่านิยม ความเชื่อ รสนิยม วัฒธรรมใด เช่น ปัญหาขยะในชุมชนเกิดจากค่านิยมของคนในชุมชนเมืองที่รักความสะดวกสบายจึงเลือกใช้โฟมและถุงพลาสติกที่สุดท้ายก่อให้เกิดขยะจำนวนมหาศาล หรือปัญหาโสเภณีเด็กเกิดจากค่านิยมของเด็กวัยรุ่นที่ชอบความสะดวกสบาย ชอบใช้ของฟุ่มเฟือย ราคาแพง
1.3 Actions การปฏิบัติ จากข้อเท็จจริงและค่านิยมนำไปสู่การปฏิบัติคือการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น จากปัญหาขยะในชุมชนการปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาคือ รณรงค์ให้ประชาชนหิ้วถุงผ้าไปจ่ายตลาด นำปิ่นโตไปซื้ออาหาร รวมทั้งมาตรการอื่น ๆ เพื่อทำให้ขยะโฟมและถุงพลาสติกลดน้อยลง

ค่านิยม ความชอบ ความเชื่อบางเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีบางอย่างมีผลโดยตรงต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวในการดำเนินงาน ดังนั้นการปฏิบัติใด ๆ ที่ขัดแย้งกับค่านิยมความเชื่อของชาวบ้านโอกาสที่จะประสบความสำเร็จย่อมมีน้อยลง ดังนั้นข้อมูลที่เป็นค่านิยมจะมองข้ามไปไม่ได้

2. ข่าวสารทั้งสามประเภทอาศัยวิธีการวิเคราะห์หลายวิธี ได้แก่
2.1 การพยากรณ์หรือการคาดคะเนแนวโน้มหรือเหตุการณ์ในอนาคต อาจใช้ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์ ความน่าจะเป็นเข้าไปพยากรณ์
2.2 การพรรณนาหรือการอธิบายสิ่งที่ปรากฏ การพยากรณ์และการพรรณนาจะนำไปใช้ในการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงว่าจากเหตุการณ์ที่ปรากฏขณะนี้เกิดเหตุการณ์อะไร เช่น ปัญหาการระบาดของไข้หวัดนก ปัญหาเยาวชนติดสารเสพติด ก็อธิบายว่าปัญหานั้นเป็นอย่างไร พร้อมกันนั้นก็พยากรณ์ว่าถ้าหากการระบาดยังอยู่ในลักษณะเช่นนี้โดยปราศจากการแก้ไขจะนำไปสู่เหตุการณ์ร้ายแรงอย่างไร
2.3 การประเมิน นำไปใช้วิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารที่เป็นค่านิยม เช่น ประเมินทัศนคติ ประเมินค่านิยมของประชาชนว่ามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ อย่างไร
2.4 การเสนอแนะ ใช้วิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นการปฏิบัติ นั่นคือเป็นการเสนอแนะแนวทางในการปฏิบัติ เช่น พบสภาพความเป็นจริงประชาชนในชนบทห่างไกลมีปัญหาสุขภาพอนามัย เกิดจากธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรเรื่องการรักษาโรคเมื่อเจ็บป่วยแทนที่จะป้องกันไม่ให้เกิดโรค เมื่อประชาชนมีค่านิยมเช่นนี้ควรเสนอแนะแนวทางการปฏิบัติ เช่น แนวทางปฏิรูประบบสุขภาพ แนวทางสร้างหลักประกันด้านสุขภาพ เป็นต้น ข้อเสนอแนะเหล่านี้ได้มาจากข่าวสารที่เป็นข้อเท็จจริงและค่านิยมนั่นเอง

3. การวิเคราะห์ข่าวสารทั้งสามประเภทต้องใช้เหตุผลเพื่อแปรสภาพสำหรับนำไปใช้ประโยชน์ในการกำหนดนโยบาย ข้อเท็จจริง ค่านิยม และการปฏิบัติจะถูกแปรสภาพออกมาเป็น Policy Argument (ข้อโต้แย้งนโยบาย ข้อมูลที่นำไปสู่ความมีเหตุมีผลเกี่ยวกับนโยบาย) เป็นข้อมูลที่นำไปใช้ประกอบในการกำหนดนโยบายหนึ่ง ๆ ประกอบด้วยข้อมูลสำคัญ 6 ประเภท ได้แก่
3.1 ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย (Policy Relevant Information: I) เป็นข้อมูลที่เป็นทั้งข้อเท็จจริงและค่านิยมที่เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหา เป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การสร้างเหตุผลในการกำหนดนโยบาย หรืออาจเป็นข้อเท็จจริงและค่านิยมที่บรรยายปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับประชาชน เช่น ปัญหาเกษตรกรมีรายได้น้อย ไม่มีที่ดินทำกิน คุณภาพชีวิตไม่ดี ก็ต้องดูว่าการที่เกษตรกรมีปัญหาเหล่านี้เป็นผลมาจากอะไร การขาดที่ดินทำกินต้องเช่าที่ดินคนอื่นทำได้เท่าไหร่ก็ต้องเอาไปจ่ายค่าเช่า ขาดแรงจูงใจในการบำรุงรักษาที่ดินเพราะไม่ใช่ของตัวเอง และนำไปสู่การบุกรุกป่าสงวนเพื่อหาที่ดินทำกิน นี่คือ Policy Relevant Information ที่จะนำไปสู่การกำหนดนโยบายออกมาเพื่อแก้ปัญหา
3.2 Policy Claim: C ข้ออ้างนโยบาย เป็นทั้งข้อเท็จจริงและค่านิยมและอาจจะรวมถึงการปฏิบัติด้วยที่เป็นข้อมูลข่าวสารเพื่อเป็นข้อสรุปที่ชัดเจนช่วยให้เห็นความสำคัญในการกำหนดนโยบายนั้น ๆ ออกมา เช่น ปัญหาเกษตรกรไม่มีที่ดินทำกิน ต้องรวบรวมตัวเลขออกมาให้ชัดเจนว่ามีเกษตรกรกี่แสนครอบครัวที่ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง หรือเมื่อพูดถึงปัญหาการจราจรติดขัด Policy Claim เป็นผลสรุปจากการวิจัยว่าในหนึ่งชั่วโมงมียวดยานผ่านถนนเส้นนี้กี่คัน วินาทีละกี่คันเพื่อระบุถึงความหนาแน่นของถนนสายนี้ประกอบในการสร้างทางยกระดับ
3.3 Warrant: W ข้อมูลที่เป็นหลักประกัน ได้มาจากการประเมินค่านิยม ความเชื่อ เป็นข้อมูลที่ไปสนับสนุน Policy Relevant Information ให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
3.4 Backing: B ข้อสนับสนุน เห็นได้ว่าทั้ง C, W, B ล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลที่ได้จากข้อเท็จจริง ค่านิยม เพื่อสนับสนุนการนำเสนอนโยบายนั้น ๆ ทั้งสิ้น ข้อสนับสนุนเป็นข้อมูลที่จะไปสนับสนุนให้ Warrant มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
3.5 Qualifier: Q ข้อตรวจสอบ เป็นข้อมูลที่ไปยืนยันว่านโยบายที่นำเสนอนั้นมีความน่าเชื่อถือ มีความเป็นไปได้ว่าลงมือปฏิบัติแล้วจะประสบความสำเร็จและเกิดประโยชน์ต่อประชาชน ข้อมูลที่เป็นข้อตรวจสอบมักผ่านการวิเคราะห์มาจากผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ ที่ปรึกษาเพื่อทำให้ผู้อนุมัตินโยบายเกิดความเชื่อมั่นว่าหากอนุมัติไปแล้วจะไม่เกิดการสูญเปล่า ตั้งแต่ข้อ 3.1 – 3.5 จึงเป็นข้อมูลในเชิงบวกทั้งสิ้น โดยหลักการไม่ควรนำเสนอในทางบวกเท่านั้นควรเสนอข้อมูลในทางลบด้วย อาจเป็นปัญหาอุปสรรคข้อขัดข้องที่อาจเกิดขึ้นจากการกำหนดหรือดำเนินนโยบายนั้น ๆ
3.6 Rebuttal: R ข้อโต้แย้ง อาจเป็นข้อเท็จจริงหรือค่านิยมของประชาชนที่นำไปสู่การคัดค้านนโยบายนั้น เช่น ประชาชนโต้แย้งว่าประตูระบายน้ำมาสร้างตรงนี้ไม่ได้เพราะเป็นกลางน้ำควรไปสร้างที่ต้นน้ำมากกว่า ดังนั้นผู้กำหนดนโยบายควรหาทางแก้ไขข้อโต้แย้งนี้ด้วย

สรุป ข้อเท็จจริง ค่านิยม การปฏิบัติจะถูกนำมาวิเคราะห์ด้วยวิธีการพยากรณ์ พรรณนา ประเมิน และเสนอแนะเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่เรียกว่า Policy Argument ทั้ง 6 ประเภท
ตัวอย่าง นโยบาย “ตราด” ประตูสู่อินโดจีน

-Policy Relevant Information คือ ตราดเป็นจังหวัดชายแดนในภาคตะวันออกของไทย มีพื้นที่ติดต่อกับกัมพูชาด้านจังหวัดพระตะบอง โพธิสัตว์ และเกาะกง เป็นศูนย์กลางด้านการค้าชายแดน และศูนย์กลางการท่องเที่ยวด้านตะวันออกของประเทศไทย I เปรียบเสมือนความสำคัญของปัญหา ความเป็นมาของโครงการ
-Policy Claim เป็นข้อสรุปที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของนโยบายนั้น คือ จังหวัดตราดได้จัดทำโครงการก่อสร้างถนน 4 เลน สาย 318 เพื่อเชื่อมกับถนนสาย 48 ในกัมพูชา ทำให้สามารถเดินทางจากตราดสู่กรุงพนมเปญ กัมพูชาได้ภายใน 4 ชั่วโมง

-Warrant เป็นหลักประกันที่ชี้ให้เห็นว่าตราดมีโอกาสเป็นประตูสู่อินโดจีน คือ จังหวัดตราดมีโครงการสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึกใช้เป็นท่าเรือเพื่อการส่งออกไปยังกัมพูชาและเวียดนาม มีสนามบินของบริษัทบางกอกแอร์เวย์มีเที่ยวบินกรุงเทพฯ – ตราด ทุกวัน

-Backing เป็นข้อมูลสนับสนุนนโยบาย คือ บริษัทบางกอกแอร์เวย์ได้สัมปทานการเข้าไปพัฒนาสนามบินในเกาะกง กัมพูชา หมายความว่าสามารถขยายเส้นทางบินต่อได้ ขณะเดียวกันรัฐบาลก็มีโครงการพัฒนาเกาะช้างและเกาะกูดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก

-Rebuttal คือ การก่อสร้างท่าเทียบเรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ข้อโต้แย้งนี้อาจถูกแก้ไขด้วยข้อมูลที่เป็น Qualifier ได้

-Qualifier คือ ขณะนี้ผู้เชี่ยวชาญกำลังดำเนินการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการก่อสร้างท่าเรืออยู่

สรุป Policy Argument ทั้ง 6 ประเภทคือข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ที่นำเสนอเพื่อสะท้อนภาพให้เห็นถึงความจำเป็น ความสำคัญ ที่มา เจตนารมณ์ ความเดือดร้อนของประชาชน มีข้อมูลและสถิติแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน รวมทั้งผลเสีย ข้อโต้แย้ง และแนวทางการแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้

4. มุ่งผลิต/แปรสภาพข่าวสารนโยบาย เป็นการวิเคราะห์ลึกลงไปอีกว่า Policy Relevant Information ได้แก่
4.1 Policy Problems ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหานโยบาย
4.2 Policy Alternatives / Policy Futures ข้อมูลเกี่ยวกับทางเลือกนโยบายหรืออนาคตนโยบาย
4.3 Policy Action ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินนโยบาย
4.4 Policy Outcomes ข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์นโยบาย
4.5 Policy Performance ข้อมูลเกี่ยวกับระดับความสำเร็จของนโยบาย

ที่มา : คำบรรยาย รศ.อนงค์ทิพย์ เอกแสงศรี
แหล่งข้อมูล http://mpsru21.igetweb.com/?mo=3&art=263336

PA604: นโยบายสาธารณะและการวางแผน -แบบทดสอบ

แบบทดสอบ นโยบายสาธารณะและการวางแผน
---------------------------------------
หมายเหตุ: [X] คือคำตอบ

ความหมายของนโยบายสาธารณะของเจมส์ แอนเดอร์สัน
[X] แนวทางการกระทำของรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

ประโยชน์ของนโยบายสาธารณะ (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1.ทำให้ได้รับความรู้ ความเข้าใจ ในช่วงหนึ่ง ๆ ของรัฐบาลประเทศนึ่ง
2. ทำให้ทราบกระบวนการต่าง ๆ ของนโยบาย
3. ทำให้ทราบถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของสถาบันทางการเมืองและผู้นำทางการเมืองของประเทศ
4. ทำให้ทราบถึงวิธีการต่าง ๆ ในการวิเคราะห์ปัญหาอย่างมีเหตุมีผล

ข้อใดเป็นลักษณะปัญหาของสังคม
[X] ความไม่สิ้นสุดของปัญหา

การจำแนกนโยบายสาธารณะของ Dye (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1.เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างก็ตามขึ้นในสังคม
2. เป็นกลไกในการจัดระเบียบสังคมไปในทางที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับประเทศอื่นหรือสังคมอื่นได้
3. เป็นกลไกสำคัญในการจัดสรรปันส่วนสินค้าและบริการให้แก่สมาชิกของสังคม
4. เป็นเครื่องมือในการดึงดูดหรือถอนเงินมาจากสังคมโดยทั่วไป

ข้อใดคือนโยบายลักษณะแนบแน่นของ ชุบ กาญจนประกร
[X] เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแน่นอนและความสมานฉันท์ในรายละเอียดต่าง ๆ

ขอบข่ายการศึกษานโยบายสาธารณะ (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1. การกำหนดหรือก่อรูปนโยบาย
2. การนำนโยบายไปปฏิบัติ
3. การประเมินผลนโยบาย
4. การวิเคราะห์ผลย้อนกลับของนโยบาย

พัฒนาการของการศึกษานโยบายสาธารณะยุคขยายตัวคือข้อใด
[X] 1. เนื่องจากได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญขึ้นในกระบวนการศึกษารัฐประศาสนศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา
2. เนื่องจากในระหว่างทศวรรษ 1960 มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในหมู่ชาวอเมริกันเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น

ข้อใดเป็นตัวแบบการศึกษานโยบายสาธารณะ
[X] 1. กรอบแนวคิดของวิธีการศึกษาในแง่ทฤษฎีหรือตัวแบบของนโยบาย
2. กรอบแนวคิดของวิธีการศึกษาในแง่ขอบเขตของนโยบายสาธารณะ
3. กรอบแนวคิดของวิธีการศึกษาในแง่กระบวนการของนโยบาย

ข้อใดเป็นตัวแบบการศึกษานโยบายสาธารณะตามแนวรัฐศาสตร์
[X] การศึกษารัฐศาสตร์สมัยดั้งเดิม การศึกษารัฐศาสตร์สมัยใหม่

ข้อใดเป็นตัวแบบการศึกษานโยบายสาธารณะตามรัฐประศาสนศาสตร์
[X] 1. เป็นการศึกษาที่อยู่ในขอบข่ายหนึ่งของรัฐประศาสนศาสตร์ 2. ขั้นการนำนโยบายไปปฏิบัติ
3. การกำหนดนโยบายสาธารณะเป็นกิจกรรมหรือกระบวนการอย่างหนึ่งของการบริหาร
4. โดยแท้ที่จริงแล้วเป็นการศึกษาถึงศาสตร์ว่าด้วยนโยบายสาธารณะ

ตัวแบบการศึกษาแนวบูรณาการเน้นการศึกษาอะไร
[X] ศึกษานโยบายสาธารณะอย่างครบวงจร

แนวคิดที่ต้องการแยกฝ่ายการเมืองออกจากฝ่ายบริหารเพราะเหตุใด
[X] 1. ความต้องการที่จะให้มีการควบคุมและถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน
2. แต่ละฝ่ายต่างมีความต้องการได้ตัวบุคคลที่มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน
3. แต่ละฝ่ายมีระยะเวลาของการดำรงตำแหน่งไม่เท่าเทียมกัน
4. ความต้องการที่จะประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน
5. การปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละฝ่ายย่อมต้องการให้บรรลุผลสำเร็จหรือมีประสิทธิผล

สิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อนโยบายสาธารณะ (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1. เป็นสิ่งที่อยู่รอบ ๆ นโยบายสาธารณะซึ่งมีผลหรือความสัมพันธ์
2. เป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติและทางสังคม
3. เป็นเงื่อนไข หรือปัจจัย หรือตัวแปร
4. เป็นปัจจัยทีมีอิทธิพลต่อนโยบายสาธารณะทั้งในเชิงบวกและลบ

ความสำคัญของการศึกษาปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อนโยบายสาธารณะ (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1. ช่วยกำหนดวิสัยทัศน์และพันธกิจของประเทศให้สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม
2. ช่วยกำหนดกลยุทธ์ของประเทศให้นำไปสู่การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
3. ช่วยตัดสินเกี่ยวกับนโยบายได้ถูกต้อง
4. ช่วยปรับตัวแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

ข้อใดคือความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล
[X] 1. การเมืองกับการบริหาร
2. การเมืองกับนโยบายสาธารณะ
3. การบริหารกันนโยบายสาธารณะ

ปัจจัยสิ่งแวดล้อมภายในระบบการเมือง (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1. ปัจจัยด้านสถาบันทางการเมือง
2. ปัจจัยด้านกระบวนการทางการเมือง
3. ปัจจัยด้านพฤติกรรมทางการเมือง

การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของ ดันน์ คือปัจจัยในข้อใด
[X] ปัจจัยสิ่งแวดล้อมของนโยบาย

นโยบายรับประกันสุขภาพเป็นองค์ประกอบใดในระบบนโยบายสาธารณะของ เดวิด อิสตัน
[X] ปัจจัยนำออก

ภาวะว่างงานเป็นปัจจัยในด้านใด
[X] ปัจจัยด้านสังคม

รัฐต้องคุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชนส่งเสริมความเสมอภาคทั้งชายและหญิง ฯ คือมาตราใดในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540
[X] มาตรา 80

กระบวนการนโยบายสาธารณะ (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1. ขั้นก่อตัวของนโยบาย
2. ขั้นตระเตรียมข้อเสนอร่างนโยบาย
3. ขั้นกำหนดเป็นนโยบาย
4. ขั้นนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ
5. ขั้นประเมินผลนโยบาย

การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ การป้องกันการทุจริต คอรัปชั่นเกี่ยวข้องกับปัญหาใด
[X] การจัดระเบียบกฎเกณฑ์

สภาคองเกรส ข้าราชการ นักธุรกิจ สามอย่างนี้เรียกว่าอะไร
[X] หน่วยงานย่อยของรัฐบาล

ใครเป็นผู้มีส่วนร่วมขั้นกำหนดนโยบายอย่างเป็นทางการ
[X] ศาล

ใครเป็นผู้มีส่วนร่วมขั้นกำหนดนโยบายอย่างไม่เป็นทางการ
[X] กลุ่มผลประโยชน์ พรรคการเมือง ปัจเจกเอกชน

ตัวแบบสถาบันเน้นความสำคัญอะไร
[X] เน้นกิจกรรมของสถาบันและองค์การต่าง ๆ ของรัฐ

นโยบายมักมีลักษณะของการผูกขาดบังคับเป็นบทบาทของระดับใด
[X] สถาบันองค์การต่าง ๆ ของรัฐ

นโยบายการจัดระเบียบกฎเกณฑ์กำหนดโดยหน่วยงานใด
[X] ระดับกลางหรือระดับล่างที่เป็นระบบย่อย ๆ

นโยบายสาธารณะที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปเป็นนโยบายสาธารณะแบบใด
[X] แบบเพิ่มส่วน

ข้อใดเป็นความหมายของการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติของ แวน มีเตอร์ และแวน ฮอร์น
[X] การดำเนินการโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลในภาครัฐหรือเอกชน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวมุ่งที่จะก่อให้เกิดความสำเร็จโดยตรงตามวัตถุประสงค์

ของนโยบายที่ได้ตัดสินกระทำไว้ก่อนหน้านี้นั้นแล้ว

นโยบายสาธารณะที่ดีของซาบาเตียร์และแมสมาเนียน (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1. สามารถแก้ไขปัญหาได้จริง
2. มีทฤษฎีและหลักวิชาการอ้างอิง
3. มีการปฏิบัติไม่ยุ่งยากหรือไม่สลับซับซ้อน
4. มีการระบุขนาดและลักษณะของกลุ่มเป้าหมายชัดเจนว่าเป็นใคร มีแหล่งอาศัยอยู่ที่ไหน
5. มีลักษณะโครงสร้างการบริหารนโยบายและแผนที่แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงโครงสร้าง
6. มีการกำหนดข้อผูกพันในการสนับสนุนด้านต่าง ๆ
7. มีการกำหนดแบบแผนการตัดสินใจไว้ชัดเจน
8. เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกมีส่วนร่วมในการตรวจและประเมินการปฏิบัติ

ข้อใดเป็นหารพิจารณาความสำเร็จหรือล้มเหลวในมุมกว้าง
[X] 1. พิจารณาที่ขั้นการนำไปปฏิบัติ
2. พิจารณาที่ตัวนโยบายและแผน
3.พิจารณาที่การตัดสินใจเชิงคุณค่าหรือการตัดสินเชิงจริยธรรมของสังคม

ข่าวสารนโยบายที่ระบุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายคือปัจจัยใด
[X] ปัจจัยด้านข้อความนโยบาย

ตัวแปรของการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติของ แวน มีเตอร์ และแวน ฮอร์น (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1. ต้องระบุวัตถุประสงค์และมาตรฐานนโยบาย
2. ต้องกำหนดทรัพยากรสนับสนุนนโยบาย
3. การสื่อสารนโยบายเพื่อทำความเข้าใจร่วมกันของกลไกการขับเคลื่อนต่าง ๆ ชัดเจน
4. ต้องกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบนโยบายและแผนไปปฏิบัติตามความสาสารถและชำนาญชัดเจน

ตัวแบบกระบวนการสาธารณะไปปฏิบัติของ ซาบาเตียร์และแมสมาเนียน (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1. ความสามารถแก้ไขปัญหาได้ของสาระนโยบาย
2. ลักษณะโครงสร้างการนะนโยบายไปปฏิบัติที่นโยบายกำหนด
3. ตัวแปรที่มิใช่เนื้อหาสาระของนโยบาย
4. ขั้นตอนในกระบวนการนำนโยบายไปปฏิบัติ

ข้อใดคือตัวแปรที่ไม่ใช่เนื้อหาสาระของนโยบาย
[X] 1. เงื่อนไขทางสังคม เศรษฐกิจและเทคโนโลยี
2. การสื่อสารมวลชนเพื่อพัฒนาความเข้าใจปัญหานโยบาย
3. การสนับสนุนสาธารณะ
4. เจตคติต่อนโยบายของกลุ่มผู้เลือกตั้ง

การป้องกันอาชญากรรมเป็นกลยุทธ์แบบใด
[X] กลยุทธ์การให้ข้อมูลข่าวสาร

การลงโทษเป็นกลยุทธ์แบบใด
[X] กลยุทธ์การกำกับควบคุม

กลยุทธ์การนำนโยบายการกระจายอำนาจไปปฏิบัติ (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1. การกำหนดขอบข่ายความประสงค์ของการกระจายอำนาจ
2. การประเมินศักยภาพของภูมิภาคและท้องถิ่น
3. การแสวงหาการสนับสนุนทางการเมือง
4. การประเมินความสามารถด้านการสนับสนุนจากหน่วยงานส่วนกลาง

ข้อใดคือกลไกการนำนโยบายไปปฏิบัติระดับจุลภาค
[X] องค์การภาครัฐหรือหน่วยงานต่าง ๆ

ข้อใดคือความสำคัญการนำนโยบายไปปฏิบัติหน่วยงานเดียว
[X] วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย และกลยุทธ์การพัฒนา

การนำนโยบายไปปฏิบัติองค์การเดียวสามารถนำหลักการบริหารมุ่งผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติตามนโยบายข้อใด
[X] RMB

ข้อใดคือความหมายของการกำกับ ตรวจสอบนโยบายสาธารณะและแผนในความหมายแนวกว้างของดันน์
[X] มองการกำกับนโยบายจากกรอบการวิเคราะห์นโยบาย ซึ่งพิจารณาการกำกับนโยบายในลักษณะการกำกับผลลัพธ์นโยบาย

ข้อใดคือความหมายของการกำกับ ตรวจสอบนโยบายสาธารณะและแผนในความหมายแนวลึก
[X] มองการกำกับนโยบายลงลึกไปถึงขั้นปฏิบัติการของแผนงานหรือโครงการทีรองรับนโยบาย

ความสำคัญการกำกับตรวจสอบนโยบาย (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1. การบังคับให้ยอมตาม
2. วางแนวทางการตรวจสอบ
3. การบันทึกและรายงานระบบบัญชีสังคม
4. การอธิบายเหตุผล

แนวทางการวิเคราะห์รายงานข้อมูลระบบบัญชีสังคมเป็นแนวทางการตรวจสอบนโยบายสาธารณะแบบใด
[X] แนวทางการกำกับตรวจสอบผลลัพธ์นโยบายและแผน

ข้อใดคือข้อจำกัดของการทดลองทางสังคม
[X] ต้องใช้กลุ่มเป้าหมายทางสังคมเป็นกลุ่มตัวอย่างเพื่อการทดลอง

ข้อใดเป็นปัญหาเกี่ยวกับสถานะของนโยบาย
[X] 1. หากต้องการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่มีขอบเขตกว้าง
2. หากมีการกำหนดมาตรฐาน เป้าหมาย และวัตถุประสงค์คลุมเครือไม่ชัดเจน
3. หากมีการกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายมาสอดคล้องกับสภาพปัญหา
4. หากมิได้กำหนดโครงสร้างการบริหารนโยบายไว้ชัดเจน

ข้อใดคือความสำคัญของการประเมินนโยบายสาธารณะ
[X] มีการปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพในการดำเนินงานสูงเพียงไร มีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้นอย่างไร
มีการเบี่ยงเบนไปจากนโยบายที่วางไว้ตั้งแต่ตันหรือไม่

เกณฑ์ในการประเมินผลนโยบายสาธารณะของดันน์ (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1.ประสิทธิภาพ 2. ประสิทธิภาพ 3. ความพอเพียง 4. ความเป็นธรรม 5. ความตอบสนองความต้องการ 6. ความเหมาะสม

การประเมินผลแบบเทียม (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1. การทำบัญชีระบบสังคม 2. การทดลองทางสังคม 3. การตรวจสอบสังคม 4. การวิจัยสะสมสังคม

การประเมินผลเชิงตัดสินใจ
[X] 1. การมาใช้ข่าวสารเกี่ยวกับการปฏิบัติงานหรือใช้ไม่สมบูรณ์เต็มที่
2. เป้าหมายการปฏิบัติงานไม่แน่ชัด
3. วัตถุประสงค์ขัดแย้งกัน

ข้อใดคือผลที่ตามมาของปัญหาความไม่แน่ชัดของเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของนโยบายสาธารณะ
[X] 1.ปัญหาการไม่ทราบขอบเขตและความครอบคลุมของนโยบาย
2.ปัญหาการไม่ทราบโอกาสที่จะบรรลุผลสำเร็จของนโยบาย
3.ปัญหานโยบายซ้ำซ้อนกัน

ปัญหาอื่นของนโยบายสาธารณะคือข้อใด
[X] 1.ปัญหาเรื่องข้อมูลข่าวสารในการประเมินผลนโยบาย
2.ปัญหาการใช้เทคนิคในหารประเมินผลนโยบาย
3. ปัญหาเกี่ยวกับลักษณะของนโยบาย
4.ปัญหาเรื่องระยะเวลาในหารประเมินผลนโยบาย

สาเหตุการปรับปรุงนโยบายสาธารณะ (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1.นโยบายสาธารณะถูกกำหนดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนและของประเทศ
2. นโยบายสาธารณะนั้นส่วนใหญ่จะถูกกำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางหรือเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
3. ถ้าพิจารณาในตัวนโยบายสาธารณะเอง

ข้อใดคือการก่อตัวนโยบายสาธารณะของไทย
[X] 1. การปะทุของปัญหาสาธารณะที่ประชาชนเห็นพ้องต้องกัน
2. โอกาสที่เปิดให้เมื่อค้นพบทรัพยากรธรรมชาติที่มีจำนวนมากและมีขนาดใหญ่ กว้างขวาง
3. การได้รับความช่วยเหลือจากต่างประเทศในยุคสงครามเย็น

ข้อใดคือวงจรและตัวแบบนโยบายสาธารณะของไทย
[X] มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรบ่อยครั้ง ทำให้การเมืองไม่มั่นคง ไม่ต่อเนื่อง

กลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับนโยบายสาธารณะของไทย (ข้อใดไม่ใช่)
[X] ระดับล่าง สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล หน่วยงานปกครองท้องถิ่นระดับเทศบาล
ระดับชาติ ผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา
กลุ่มผลักดันสื่อมวลชนหรือแม้แต่ผู้เสนอกระทู้ใน Internet

ปัญหาองค์กรและผู้เกี่ยวข้องในการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติ (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1.ความชัดเจนของนโยบาย 2. ความสอดคล้องต้องกันในเป้าหมายของนโยบาย
3.ความเข้าใจในนโยบายของหน่วยงานที่รับผิดชอบ 4. ความร่วมมือและความจริงใจของหน่วยงานที่รับผิดชอบ

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวของการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติ (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1.สภาพแวดล้อมภายนอกหน่วยงาน 2. ปัจจัยด้านเวลาและทัพยากร 3. นโยบายที่มีพื้นฐานอยู่บนทฤษฎีหลักสมเหตุและผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้ 4.

ปัญหาการจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม

PPIP
[X] P นโยบาย P แผนงาน I แปลงนโยบาย P กระบวนการ

ความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายกับแผนแบ่งออกได้กี่ลักษณะ
[X] 1. ความสัมพันธ์ระหว่างเป้าประสงค์ วัตถุประสงค์ นโยบาย แผน แผนงาน และโครงการ
2. ความสัมพันธ์ในแนวดิ่งหรือแนวตั้ง
3. ความสัมพันธ์ในแนวราบ
4. การเชื่อมโยงระหว่างนโยบายสาธารณะและการวางแผน

Adaptivizing Planning หมายถึงข้อใด
[X] การวางแผนโดยมุ่งการปรับตัวขององค์การ

ทัศนะการวางแผนของ Ackoff (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1.การออกแบบสิ่งพึงประสงค์ในอนาคต
2. เป็นเครื่องมือของผู้บริหารที่วิวิสัยทัศน์
3. กระบวนการตัดสินใจ

ความจำเป็นในการวางแผน (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1.เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้รับผิดชอบเข้าสู่ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่
2. เพื่อกระตุ้นให้เกิดการถกเถียงและอภิปรายเกี่ยวกับทางเลือกที่ควรจะทำ
3. เพื่อนำเสนอแนวทางปฏิบัติหรือชุดของการกระทำที่เฉพาะเจาะจง
4. เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์ของการจัดสรรงบประมาณ

องค์ประกอบของแผนส่วนที่สำคัญที่สุด
[X] วัตถุประสงค์

โครงสร้างเขื่อนน้ำโจนเป็นประเภทใดของนิวแมน
[X] แผนใช้ครั้งเดียว

แผนกายภาพคืออะไร
[X] แผนการใช้ที่ดิน

ข้อใดคือขั้นสุดท้ายของการวางแผนการทดสอบปรับปรุงแผน
[X] การปรับปรุงเพื่ออนุมัติแผน

ทฤษฎีใดที่ประเทศส่วนมากในปัจจุบันใช้ในการพัฒนาประเทศ
[X] แบบผสมผสาน

การพัฒนาเศรษฐกิจเน้นบทบาทของรัฐเป็นการพัฒนาแบบใด
[X] แบบสังคมนิยม

แนวคิดที่ว่ารัฐควรมีบทบาทเพื่อป้องกันการผูกขาดและช่วยเหลือผู้ด้วยโอกาสทางเศรษฐกิจเป็นแนวคิดแบบใด
[X] แบบผสม

ข้อใดคือความหมายของการวางแผนพัฒนาของไบรอันท์และหลุยจีไวท์
[X] 1.การเพิ่มความสามารถ 2. การสร้างความเป็นธรรม 3. การสร้างพลังอำนาจ 4. การสร้างเสถียรภาพ

ข้อใดคือวิวัฒนาการของการวางแผนพัฒนาในประเทศไทย
[X] การนำความรู้เกี่ยวกับแผนมาใช้ในการพัฒนาประเทศเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในสมัยของพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

การพัฒนาเศรษฐกิจที่จำกัดด้านทรัพยากรเป็นแบบใด
[X] แบบไม่สมดุล

SWOT O หมายถึงอะไร
[X] S จุดแข็ง W จุดอ่อน O โอกาส T อุปสรรค

ความสำคัญการวางแผนยุทธศาสตร์ (ข้อใดไม่ใช่)
1.กำหนดทิศทางขององค์การ 2. สร้างความสอดคล้องในการปฏิบัติ 3. สร้างความพร้อมให้กับองค์การ
4. สร้างประสิทธิภาพในการให้บริการ

STEPI I หมายถึงอะไร
[X] S สังคม T เทคโนโลยี E เศรษฐกิจ P การเมือง I จากต่างประเทศ

FORECAST C หมายถึงอะไร
[X] F อนาคต O โอกาส R การวิจัย E ผล C เหตุ A สมมติฐาน S วิธีการทางวิทยาศาสตร์ T เทคโนโลยี

ข้อใดเป็นขั้นตอนแรกของการพยากรณ์
[X] การกำหนดวัตถุประสงค์ของการพยากรณ์

การพยากรณ์เชิงคุณภาพ (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1.เทคนิคเดลฟี 2.เทคนิคการพยากรณ์โดยการวิจัยตลาด 3.เทคนิคนอมินัลกรุ๊ป
4.เทคนิคการพยากรณ์เชิงคุณภาพแบบอื่น ๆ เช่นเทคนิคการพยากรณ์แบบรากหญ้า เทคนิคการพยากรณ์โดยอาศัยข้อมูลในอดีต

การพยากรณ์โดยการวิเคราะห์แบบอนุกรมเวลา (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1.แนวโน้มคงที่ 2. การเปลี่ยนแปลงตามฤดูการ 3. การเปลี่ยนแปลงตามวัฏจักร 4. การเปลี่ยนแปลงผิดปกติ

การพยากรณ์โดยการใช้แบบของมาร์คอฟ
[X] เป็นตัวแบบทางคณิตศาสตร์ที่นำมาใช้ในหารวิเคราะห์พฤติกรรมของตัวแปรเพื่อพยากรณ์พฤติกรรมในอนาคตของตัวแปรนั้น ๆ

ลักษณะของโครงการ (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1.มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน 2. มีความเป็นอิสระในการดำเนินการ 3.มีขอบเขตการดำเนินงานที่แน่นอน ชัดเจน
4. มีระยะเวลาที่แน่นอนชัดเจน 5. มีกำหนดการที่แน่นอน

SMART M หมายถึงข้อใด
[X] S ความเฉพาะเจาะจง M สามารถวัดได้ A สามารถทำสำเร็จได้ R มีเหตุผล T ระบุระยะเวลา

สภาพแวดล้อมในการบริหารโครงการ (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1.ความสลับซับซ้อน 2. ความสมบูรณ์ 3. การแข่งขัน 4. ความต้องการของลูกค้า

กระบวนการบริหารโครงการของ Martin (ข้อใดไม่ใช่)
[X] หาความต้องการผู้รับบริการ ประชาสัมพันธ์ผู้รับบริการ การวางแผนโครงการ การอำนวยการโครงการ
การดำเนินการโครงการ การประเมินผลโครงการ การปรับปรุงโครงการ การรายงานโครงการ

การเขียนรูปแบบโครงการคือรูปแบบใด
[X] การเขียนโครงการแบบพรรณนา และ แบบตารางสมเหตุสมผล

มูลค่าปัจจุบันสุทธิเป็นการวิเคราะห์เศรษฐกิจแบบใด
[X] อัตราผลตอบแทนต่อการลงทุน

ผู้จัดการโครงการแบบใดมีอำนาจน้อยที่สุด
[X] ผู้จัดการโครงการในฐานะผู้เร่งรัดโครงการ

ข้อใดคือประเภทของการระเมินโครงการ
[X] การประเมินเพื่อการปรับปรุงและการประเมินผลรวมสรุป

EVALUTION ทุกส่วนภูมิภาคมีส่วนร่วมคือตัวย่อใด
[X] E จริยธรรม V ปราศจากอคติค่านิยม A ชื่นชม L มีเหตุผล U เข้าใจได้ง่าย T ความโปร่งใส I สหวิชา
O ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม N กำหนดตัวชี้วัด

ข้อใดเป็นขั้นตอนแรกการประเมินความสำเร็จของแผนและโครงการ
[X] เน้นการประเมินผลความพยายาม

CIPP C มีความหมายตรงกับข้อใด
[X] C ประเมินสภาวะแวดล้อม I ประเมินปัจจัยนำเข้า P ประเมินกระบวนการ P ประเมินผลผลิต

การเลือกประเมินเฉพาะส่วนดีเป็นการประเมินแบบใด
[X] แบบตบตา

ข้อใดคือปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการประเมินผลสำเร็จของแผนและโครงการ
[X] 1.การเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคหรือผู้รับบริการ
2. ความเป็นวิชาชีพของผู้ประเมิน
3. ประสิทธิผลของการขัดการ
4. ข้อจำกัดเกี่ยวกับทรัพยากร
5. อำนาจที่ได้รับตามกฎหมาย

การระบุความหมายและขอบเขตของประเด็นปัญหาให้แน่ชัดเป็นวิธีการวิเคราะห์ของการประเมินผลแผนและโครงการเชิงตรรกะตามข้อใด
[X] วิธีการวิเคราะห์คำถามย่อย

ข้อใดเป็นเทคนิคการประเมินผลแบบเทียม
[X] เทคนิคการทำบัญชีระบบสังคม และ เทคนิคการทดลองทางสังคม

ข้อใดเป็นเทคนิคการประเมินผลแบบตัดสินใจ
[X] เทคนิคการระดมสมอง และ เทคนิคการประเมินผลแบบรวมหมด

ข้อใดเป็นปัญหาการแบ่งโครงสร้างหน้าที่ราชการไทยแบบแยกส่วน
[X] 1. การขาดการบูรณาการแผนงานและโครงการของระบบราชการหรือส่วนราชการในระดับต่าง ๆ อย่างแท้จริง
2. หน่วยงานด้านแผนและโครงการไม่สามารถแสดงบทบาทและทำหน้าที่ในการบูรณาการ
3. การขาดความร่วมมือและสนับสนุนระหว่างส่วนกลาง
4. การขาดระบบการติดตาม ประเมินผล และรายงานอย่างเป็นระบบ

การประสานงานของข้าราชการ (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1. การประสานงานระหว่างหน่วยงานกลาง
2. การประสานงานระหว่างหน่วยงานกลางกับกระทรวง ทบวง กรม
3. การประสานงานระหว่างกระทรวงกับกรม และกรมในกระทรวงเดียวกัน
4. การประสานงานระหว่างกระทรวง และระหว่างกรมต่าง ๆ

ข้อใดเป็นปัจจัยเกี่ยวกับลักษณะของนโยบาย
[X] 1. ขนาดหรือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามแผนงานและโครงการ
2. ระดับความเห็นพ้องต้องกันในวัตถุประสงค์ของแผนงานและโครงการ
3. ผละกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้นจากนโยบาย
4. ระดับความสอดคล้องระหว่างนโยบายกับค่านิยม 5. ความชัดเจนของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามมาจากการปฏิบัติตามนโยบาย

การบริหารมุงผลสัมฤทธิ์ (ข้อใดไม่ใช่)
[X] 1.เป็นแนวทางหรือเทคนิคการบริหารตามแนวคิดหารบริหารแนวใหม่
2. เป็นวิธีการบริหารจัดการที่มุ่งเน้นผลกสนปฏิบัติงานเพื่อให้องค์กรการบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
3. ปรับปรุงผลการดำเนินงานขององค์กรที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วม
4. เพื่อให้ระบบและวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ

ความหมายของสารสนเทศ (ข้อใดไม่ใช่)
[X] ข้อมูล ประมวลผล สารสนเทศ

ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ (ข้อใดไม่ใช่)
[X] ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์
1. อุปกรณ์รับข้อมูล
2. หน่วยประมวลผลกลาง
3. หน่วยความจำ
4. อุปกรณ์แสดงผล

ข้อใดเป็นประโยชน์ของระบบสารสนเทศต่อการกำหนดนโยบายสาธารณะ
[X] 1.ช่วยวิเคราะห์เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมภายนอกองค์กร
2. ช่วยระบุและการเลือกหัวข้อปัญหา
3. ช่วยวิเคราะห์ทางเลือก
4. ช่วยในการอนุมัติทางเลือกและการกำหนดทรัพยากร
5. ช่วยกำหนดแผนงาน
6. สนับสนุนการปฏิบัติงานตามแผน
7. ช่วยควบคุมการปฏิบัติการ
8. สนับสนุนความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน
9. ช่วยในการประเมินและทบทวนนโยบาย
--------------------------------------------------------------------
Tai

ที่มา: http://addcom.is.in.th/?md=webboard&ma=showtopic&id=316

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

How to improve an English language: วิธีทำให้เก่งภาษาอังกฤษ

เรียน เพื่อนๆ ชาว รป.ม.3 RU หัวหมาก ทุกท่าน

วันนี้ ได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์ฝรั่ง มาแนะนำวิธีการทำให้เก่งภาษาอังกฤษ พอจับใจความได้ ดังนี้

1. Listening to real conversation. คือ ให้ฟังจากบทสนทนาที่เป็น Native English จริงๆ จะเก่งขึ้น มากกว่าฟังเพลงฝรั่ง ฟังวิทยุ หรือดูหนังฝรั่ง โดยอาจารย์เสนอให้เข้าไปโหลดไฟล์เสียงมาฟังจากเว็บ PodCast ทั้งหลายแหล่ ในเมืองไทยก็มี เช่น ที่ http://www.bangkokpodcast.com/

(อ่านเรื่อง PodCast ได้ที่นี่ What is PodCast)

2. อย่ากลัวว่าจะผิดพลาดกับการเริ่มฟังหรือพูดภาษาอังกฤษ แต่ให้ฟังหรือพูดอย่างสม่ำเสมอต่อไปทุกๆ วัน เพราะฝรั่งเองที่เป็น Native speaker ก็ยังมีผิดได้

3. ฟัง sound track จาก DVD โดยเลือกเฉพาะตอนที่มีการสนทนา ไม่ต้องยาว แล้วฟังซ้ำๆ จนกว่าจะเข้าใจ (แอบเปิดซับไทยก็ได้เป็นครั้งคราว)

4. ฟังภาษาอังกฤษจากวิทยุ โทรทัศน์ หรือสื่ออื่นๆ อย่างสม่ำเสมอทุกวัน วันละ 15 นาที

5. อย่าเริ่มต้นด้วยการเปิด Dict. ทุกคำ แต่ให้อ่านแบบ Scan ไปทั้งหมดเพื่อหา MAIN IDEA ให้ได้ก่อน ซึ่งปกติจะอยู่ paragraph แรก ให้พอรู้ว่าเรื่องที่อ่านเกี่ยวกับอะไร แล้วจึงกลับมาอ่านละเอียดซ้ำๆ

6. Positive thinking และไม่มีใครช่วยภาษาอังกฤษของเราให้ดีขึ้นได้นอกจากตัวเราเอง

7. การไปเสียเงินกับติวเตอร์ก็ดี แต่ถ้าในห้องนั้นเกิน 15 คน ก็จะไม่ค่อยได้ผล

8. การเรียนแบบออนไลน์ก็ดี แต่ไม่ค่อยจะได้อะไรมาก เพราะไม่มีโอกาสโต้ตอบกับคนอื่นในขณะเรียน

9. Dictionary ภาษาอังกฤษที่อาจารย์แนะนำให้ซื้อหามาอ่านคือยี่ห้อ PASSWORD

10. สถาบันหรือติวเตอร์ที่แนะนำคือ บอทเทิ้ลไบรท์ แถวๆ ศาลาแดง ราคาไม่แพง และสอนดีคล้ายๆ กับ Wall st. คือ สอนคนทำงานที่ไม่ค่อยมีเวลาให้นำไปใช้งานได้ ไม่เหมือนที่ British ที่สอนเหมือนการเรียนหนังสือปกติ คือ เรียนตั้งแต่อนุบาลและสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

11. วิธีการที่ดีที่สุดในการเรียนภาษาอังกฤษคือ เรียนในลักษณะ emersion (ไม่ค่อยแน่ใจว่าฟังมาถูกหรือเปล่า) แต่อาจารย์หมายถึงว่า ให้เอาใจเข้าไปอยู่ในเรื่องที่จะเรียน เหมือนอยากรู้ว่าน้ำในสระเป็นยังไง ก็ต้องกระโดดลงไปทั้งตัวจึงจะรู้ การเรียนภาษาอังกฤษก็เหมือนกัน อย่ากลัวมัน ให้ Surrounding yourself in English, Thinking in English.
---------------------------------------------------
ขอแถมท้ายเทคนิคการจำและรู้คำศัพท์ทั้งใหม่และเก่า
คือ ในครั้งที่ผมได้มีโอกาสไปเรียนภาษาอังกฤษที่ประเทศนิวซีแลนด์ (10 ปีผ่านมาแล้ว) ประมาณ 4 เดือน
อาจารย์ให้จำคำศัพท์ให้ได้สัปดาละ 5 คำ โดยให้ทำดังนี้
1. ตัดกระดาษแข็งเป็นสีเหลี่ยมผืนผ้าขนาดประมาณนามบัตรวันละ 5 ใบ
2. เขียนคำศัพท์ใหม่ (หรือเก่าก็ได้) ลงไปใบละคำ
3. ให้บอกว่าคำนั้นเป็นคำประเภทอะไร Noun, Verb, etc..
4. ให้แต่งประโยคจากคำศัพท์นั้น 1 - 2 ประโยค ที่แตกต่างกัน
5. ให้อ่าน/ท่องบ่อยๆ จนกว่าจะจำได้
6. ให้นำใส่กระเป๋ามาเรียนและท่องให้ฟังทุกวัน (เหมือนเด็กๆ เลย)
----------------------------------------------------
อ่านสุภาษิตสากล 3 ภาษาเพื่อฝึกภาษาอังกฤษที่นี่
----------------------------------------------------
Tai

วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553

PA604: สึนามิ นัยในการกำหนดนโยบายสาธารณะ

ดร.สมิทธ ธรรมสโรช - โสรัจจะ นวลอยู่
--------------------------------------------
อดีตผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กับ โหรชื่อดังฉายา "นอสตราดามุสเมืองไทย" ทำนายตรงกัน กลางปีนี้ประเทศไทยเจอสึนามิถล่มหนักแน่ๆ...

หลังจากเป็นที่ฮือฮากับรายงานข่าวจากต่างประเทศ เมื่อคณะผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาจากประเทศไอร์แลนด์เหนือ นำโดย ศาสตราจารย์จอห์น แมคคลอสคีย์ สถาบันวิจัยนิเวศวิทยาแห่งมหาวิยาลัยอัลส์เตอร์ ไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิชาการที่ขึ้นชื่อว่าทำนายเหตุการณ์สึนามิได้แม่นยำมากที่สุด ได้ส่งจดหมายเตือนภัยว่าอาจจะเกิดคลื่นยักษ์ที่เป็นผลมาจากแผ่นดินไหวถล่มชายฝั่งเกาะสุมาตราในอนาคตอันใกล้

คำเตือนที่ว่านั้นยิ่งสร้างความสะพรึงกลัวให้กับคนไทย เมื่อมันมาตรงกับคำทำนายของนักวิชาการและโหราศาสตร์ชื่อดังก่อนหน้านี้ ที่ว่าสึนามิจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ที่สำคัญประเทศไทยจะได้รับความเสียหายมากมายกว่าสึนามิเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547

ผู้สื่อข่าวไทยรัฐออนไลน์สอบถามไปยัง ดร.สมิทธ ธรรมสโรช อดีตผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ผู้ที่เคยทำนายว่าประเทศไทยจะเกิดสึนามิครั้งใหญ่อีกครั้งในอนาคตอันใกล้ โดยเขาเห็นด้วยกับคำเตือนของศาสตราจารย์สถาบันวิจัยนิเวศวิทยาแห่งมหาวิยาลัยอัลส์เตอร์ ไอร์แลนด์เหนือ และว่าถ้าเกิดสึนามิครั้งนี้ ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบผู้คนจะล้มหายตายจากมากมายกว่าครั้งที่แล้วมาก

"ปีที่แล้วผมมีโอกาสเข้าไปร่วมประชุมกับนักวิจัยญี่ปุ่น ซึ่งเขาก็พูดถึงเรื่องของศาสตราจารย์จอห์น แมคคลอสคีย์ ออกมาบอกว่าอีกไม่นานจะเกิดสึนามิอีกครั้ง ในส่วนประเทศไทย จะได้รับผลกระทบมากๆ เพราะว่ารอยเลื่อนแผ่นดินที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547 มันเลื่อนแค่เศษ 1 ส่วน 4 เท่านั้น ดังนั้นจะเหลืออีกเศษ 3 ส่วน 4 ที่ยังไม่เกิด ซึ่งแผ่นดินมันค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาทางเหนือระหว่างเกาะนิโคบาและเกาะอันดามัน โดยการเลื่อนในครั้งนี้มันจะเขยิบเข้ามาใกล้กับชายฝั่งของประเทศไทยมากขึ้นจากครั้งที่แล้ว"

ดร.สมิทธ กล่าวต่อว่า ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้อง 9 ริกเตอร์เหมือนกับครั้งที่แล้ว เรียกว่าขอให้เกิดสึนามิขึ้นเมื่อใด ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบมหาศาล

"คำนวณง่ายๆ ว่าสึนามิครั้งที่แล้วมันไกลจาก 6 จังหวัดภาคใต้ถึง 1,200 กิโลเมตร แต่รอยเลื่อนอีกเศษ 3 ส่วน 4 มันอยู่ใกล้ประเทศไทยเพียง 300-400 กิโลเมตา ดังนั้นถ้าเกิดสึนามิขึ้นไม่ว่าจะกี่ริกเตอร์ ประเทศไทยจะได้รับความเสียหายมากกว่าครั้งที่แล้วแน่นอน"

ถามว่าจังหวัดไหนบ้างที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ดร.สมิทธ กล่าวว่า คงไม่พ้น 6 จังหวัดที่โดนสึนามิครั้งที่แล้วถล่ม

"ที่น่ากลัวที่สุดก็ไล่ไปตั้งแต่ จ.ระนอง, พังงา, ภูเก็ต, กระบี่, ตรัง และสตูล และเรื่อยลงไปอีกซึ่งมันจะกินพื้นที่มากๆ อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผมกล่าวมาทั้งหมดปัจจัยหลักก็ต้องดูจุดเกิดสึนามิที่แน่นอนอีกที ซึ่งไม่มีใครพยากรณ์ได้ตรงเป๊ะๆ แต่รวมๆ แล้ว 6 จังหวัดที่ว่าโดนผลกระทบมหาศาลมากๆ ถ้าไม่เฝ้าระวัง ซึ่งเรื่องนี้ในการประชุมเรื่องสึนามิที่ประเทศไทยเมื่อปีที่แล้วเราพูดกันเยอะ แต่ก็เขาก็ไม่ได้บอกชัดเรื่องเกี่ยวกับประเทศไทย ระบุแต่ถ้าเกิดสึนามิอีกครั้ง ตั้งแต่พม่าโดนหมด อย่างแผ่นดินไหวที่เฮติในครั้งนี้ บางคนก็พยากรณ์ว่าอีกนานจะเกิด 10-100 ปี แต่ผมเชื่อว่ามันพยากรณ์ไม่ได้ อยู่ๆ มันเกิดตูมขึ้นมา ภายใน 1-5 ปีนับจากนี้อาจไม่เกิดก็ได้ หรืออาจจะเกิดพรุ่งนี้ก็ได้ ไม่มีใครพยากรณ์ได้ ประเทศไทยก็เหมือนกัน แต่เราก็ทำได้แค่ระวังตัว"

สำหรับวิธีป้องกัน อดีตผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวว่า ประเทศไทยก็ต้องมีระบบเตือนภัยที่ดี ซึ่งอาจจะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา ซึ่งเห็นคนในพื้นที่บอกว่า ทุ่นเตือนภัยก็แบตฯ หมด หอเตือนภัยก็ใช้การได้ไม่หมด ทั้งนี้ ตนคงพูดอะไรไม่ได้มาก เพราะโดนรัฐฟ้องอยู่ข้อหาหมิ่นประมาท

"สิ่งที่ผมทำได้ก็คือ ปัจจุบันผมทำมูลนิธิเตือนภัยโดยไม่หวังกำไรทำงานคู่ขนานไปกับศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติของรัฐ โดยมูลนิธิเรามีหน้าที่เตือนภัยทำเหมือนกับศูนย์เตือนภัยพิบัติทุกๆ อย่าง โดยเรามีเครือข่ายจากลูกทุ่งเน็ตเวิร์คกระจายเสียงทั้งหมด 81 สถานี ทั้งเอฟเอ็ม เอเอ็มทั่วประเทศที่จะติดตามความเหตุการณ์พร้อมกับเตือนภัยได้ 24 ชั่วโมง โดยมีสถานีวิทยุให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายสนุนค่าใช้จ่าย"

สุดท้าย ดร.สมิทธ ฝากไปถึงประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยว่า มูลนิธิจะพยายามเตือนให้ทราบล่วงหน้าว่า ภัยธรรมชาติชนิดไหนจะเกิดขึ้นที่ไหน เราจะทำให้ดีที่สุดขอให้ติดตามรับฟังเครือข่ายและสถานีวิทยุของเรา โดยสามารถสอบถามและแจ้งเหตุได้ที่ โทร.0-2888-2215 ได้ 24 ชั่วโมง

ด้านโหรชื่อดัง นายโสรัจจะ นวลอยู่ ฉายานอสตราดามุสเมืองไทย ผู้ที่เคยทำนายประเทศไทยจะเกิดสึนามิใหญ่ อีกทั้งยังฟันธงอีกว่า กลางปีนี้ประเทศไทยจะมีสึนามิอีกครั้ง กล่าวว่า
"ตามดวงดาวจริงแล้วมีเกณฑ์กลางปีนี้ 100% ซึ่งผมดูจากดวงดาวแล้ว กลางปีนี้ค่อนข้างจะน่าเป็นห่วงมากๆ เพราะว่าดาวที่สำคัญอย่าง ดาวเสาร์ อยู่ในภพอริของดวงเมือง อีกทั้งราหูมาอยู่ในภพที่ 9 ซึ่งตรงนี้มีผล มากๆ คือดาวสองดวงนี้ทำมุมกัน แล้วดาวพฤหัสก็เกี่ยวกับน้ำ พฤหัสอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ค่อยดี อย่างไรก็ดี ผมก็คิดว่าเป็นไปได้ว่าประเทศไทยมีโอกาสใกล้เคียงจะเกิดทั้งแผ่นดินไหวแล้วก็เกิดสึนามิด้วย โดยเฉพาะชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมชายฝั่ง หรือแถบอันดามันตั้งแต่ระนองลงไปอันตรายมากๆ"

เมื่อถามถึงวิธีป้องกัน โหรชื่อดังกล่าวว่า เป็นเรื่องที่ยากมากๆ เพราะว่ามันเป็นกฎแห่งดวงดาว ที่มาบรรจบกับภัยธรรมชาติ

"สิ่งที่เตือนได้นอกจากการทำบุญแล้ว ผมอยากให้ภาครัฐใส่ใจตรวจสอบเครื่องเตือนภัยต่างๆ ให้สมบูรณ์แบบ ส่วนประชาชนก็ต้องคอยระมัดระวังฟังศูนย์เตือนภัย ซึ่งอาจจะทำให้เหตุการณ์ที่หนักหนาสาหัสในกลางปีนี้ทุเลาลงไปได้" นายโสรัจจะกล่าว


ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์

-------------------------
Tai

วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

PA604: นโยบายสาธารณะ รศ.พิพัฒน์ฯ

เรียน เพื่อนๆ รป.ม.3
--------------------------
ขอสรุปบทเรียน PA604 นโยบายสาธารณะ โดย รศ.พิพัฒน์ ไทยอารี
(โทร. 089-795-5040 PHIPHAT_THAIARRY@YAHOO.COM)
--------------------------
QUIZ
ก่อนเรียน อาจารย์ฝากให้อ่าน รธน.ปี 2550 เพื่อดูว่ามีกระบวนท่าในการกำหนดนโยบายสาธารณะอย่างไรบ้าง และดูวิธีการได้มาซึ่งนโยบาย เพื่อมาเป็น QUIZ ในห้องในวันเสาร์ โดยแบ่งกลุ่มหารือแล้วนำเสนอ - ให้ดุความเกี่ยวข้องตามความหมายของ PA คือ Attempt (ความตั้งใจ), Government (รัฐบาลกลาง), Address (การบอกกล่าว), Public issue (ประเด็นสาธารณะ)และดูว่ามีกลุ่มองค์กร กลุ่มบุคคลใดบ้างเกิดขึ้นหรือเกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบาย (อย่าดูเฉพาะบทใดบทหนึ่ง) เช่น

Attempt: เป็นความตั้งใจของรัฐ ของรัฐบาล หรือของรัฐที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการหรือเลือกที่จะทำ
Address: เช่น แถลงต่อรัฐสภา
Public Issue: หน่วยงานใดบ้างที่มีบทบาทด้าน Public policy
Player: มีใครได้บ้าง
กลไก การพัฒนานโยบาย: มีแนวทางอย่างไรบ้าง
--------------------------
แนวสอบวัดผล :
อ่านบทความเรื่อง "สึนามิ" ของ ดร.สมิธ ธรรมสโรจ กับ ดร.โสรัฐฯ ว่ามีนัยยในเชิง PA อย่างไรบ้าง มีแง่มุมใดที่ต้องดูโดยใช้บริบทของ PA


หมายเหตุ:
บริบท หมายถึง ปัจจัยหรือองค์ประกอบที่เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
องค์รวม หมายถึง แนวคิด ทฤษฎี และวิธีการปฏิบัติในเรื่องที่สนใจ
--------------------------
ข้อคำถามเพื่อร่วมกันคิดในห้อง คือ การปรองดอง ของ 2 แนวทาง ได้แก่
1) แนวทางของนายกอภิสิทธิ์ฯ โดยมีคุณอานันท์ฯ คุณหมอประเวสฯ และคุณสมบัติ เป็นตัวแทน (สรุปแล้วเป็นวิธีการแบบระบบราชการของ Max Weber และแบบรัฐประศาสนศาสตร์ ทำงานได้ช้า ไม่คล่องตัว ขาดอิสระในการทำงาน)
2) แนวทางของท่านสนั่นฯ (แบบเร่ง-ผ่อน เชิงยุทธศาสตร์ รวดเร็ว ฉับไว คล่องตัว เบ็ดเสร็จในตัวเอง มีอิสระในการทำงาน ใช้ตัวเองเป็นตัวเดินเรื่อง ทำงานได้เร็วเพราะทำเรื่องเดียวโดยเฉพาะไม่เหมือนนายกต้องดูแลอีกหลายเรื่อง มีความคล่องตัวสูง)
*** สรุป ท่านสนั่นน่าจะประสบผลได้เร็วกว่าแบบนายกฯ
--------------------------
1. คำสำคัญในเรื่องนโยบายสาธารณะ
1.1 ค่านิยม
1.2 สาธารณชนสนใจ
1.3 ประชาชน
- สนใจ
- มีปัญหา
- มีความขัดแย้ง
- สามารถให้ความร่วมมือ
1.4 การเลือก
- ทำ
- ไม่ทำ
1.5 การจัดทำ
- เป้าหมาย
- แผน/โครงการ
- การปฏิบัติ
1.6 หน่วยงานดำเนินการ
- องค์การภาครัฐ
- รัฐบาล
- ผู้บริหาร
--------------------------
2. Public Administration ประกอบด้วย (เกี่ยวข้องกับเรื่องหลักๆ 3 เรื่อง ดังนี้)
2.1 Public Policy (นโยบายสาธารณะ)
2.2 Public Personnel (ทรัพยากรมนุษย์)
2.3 Public Finance (การคลังสาธารณะ)

Public policy เกี่ยวข้องกับสิ่งต่อไปนี้ โดย William C. Johnson (1996)
1) Public source
2) Policy cycles (เช่น ตามอายุรัฐบาล หรือตามเหตุการณ์)
3) Internaitonal on policy making
4) Who has the power in policy making
--------------------------
3. Public Administration จะเกี่ยวข้องกับ 2 ระดับ ได้แก่
3.1 ระดับนโยบาย
3.2 ระดับภารกิจของรัฐ
--------------------------
รัฐศาสตร์ ---> นโยบายสาธารณะ คือ
- สนใจเนื้อหาสาระของนโยบาย
- เน้นลักษณะผู้นำ และกลุ่มอิทธิพล หรือสถาบันการเมือง ตลอดจนกลุ่มที่สนับสนุน
- ดูปัจจัยต่างๆ ว่ามีปฏิสัมพันธ์เชื่องโยงกันอย่างไร
รัฐประศาสนศาสตร์ ---> นโยบายสาธารณะ การบริหารภารกิจรัฐ และการบริหารจัดการนโยบายสาธารณะ
- สนใจแนวในการกำหนดนโยบาย
- การนำนโยบายไปฏิบัติ มีข้อกำหนดอย่างไร
- การศึกษาความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆ และดูว่าจะก่อให้เกิดผลสำเร็จหรือล้มเหลวได้อย่างไร
- วิเคราะห์ผลของนโยบาย เพื่อนำไปปรับปรุงหรือกำหนดนโยบาย

* สิ่งที่จะตกทอดจากนโยบายสาธารณะมาสู่ PA ได้แก่ (หน้าที่ของรัฐ)
1) สร้างความเป็นระเบียบ
2) การให้สวัสดิการหลักประกัน
3) การสร้างและเพิ่มพูนศิลธรรม
4) การสร้างความเจริญและความมั่นคง
* กิจกรรมที่ PA ต้องทำ ได้แก่
1) การป้องกัน
2) การช่วยเหลือ
3) การออกข้อกำหนดกฎเกณฑ์
4) การให้บริการโดยตรง
--------------------------
คำว่า "รัฐ" ในโลกนี้ มี 2 รูปแบบ คือ รัฐเดี่ยว (ไทย) และสหพันธรัฐ (อเมริกา ประกอบด้วยหลายๆ state)
--------------------------
4. ความหมาย และคำสำคัญใน Public Administration
4.1 Public policy is an attempt by the government to address a public issue. (ตัวเข้มๆ คือ คำสำคัญ ที่ PA ต้องมีครบตามนั้น)
4.2 The government, whether it is city, state, or federal, develops public policy in terms of laws, regulations, decisions, and actions. (คำว่า government ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงรัฐบาลกลางอย่างเดียว แต่เป็นคณะบุคคลระดับเมือง หรือรัฐต่างๆ หรือมลรัฐ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง)
4.3 There are three parts to public policy-making: problems, players, and the policies.
4.4 The problems is the issue that needs to be addressed. The player is the individual or group that is influential in forming a plan to address the problem in question. Policy is the finalized course of action decided upon by government.
In most cases, policies are widely open to interpretation by non-governmental players, including those in the private sector.
Public policy is also made by leaders of religious and cultural institutions.
--------------------------
ต้องขออภัยนะ เพราะแปลไม่ออก
--------------------------
5.การวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ
5.1 Public policy analysis is the monitoring of difference government agendas the directly affect a specific community. (Monitor ในความหมายนี้ คือ การปรับแต่งหรือตรวจติดตาม และ Agenda คือวาระหรือแนวทาง)
5.2 The kinds of topics examined can vary from the impact to infrastructure on a city to making laws.
5.3 The idea behind public policy analysis is to provide the government with facts and statistics about the extent to which such initiatives are working.
--------------------------
6. มุมมองในความหมายนโบายสาธารณะ จากนักวิชาการต่างๆ
6.1 สิ่งที่รัฐบาลเลือกทำหรือไม่ทำ โดย Thomas Dye (1984)
6.2 แบบแผนเพื่อแก้ไขความขัดแย้งหรือตอบแทนความร่วมมือของประชาชน โดย Frohock (1979)
6.3 แนวปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาที่สาธารณสนใจ โดย Jame Anderson (1994)
6.4 การจัดสรรค่านิยมของสังคมเพื่อกำหนดว่าจะทำหรือไม่ทำ โดย David Easton (1953)
6.5 แผน/โครงการที่มีเป้าหมายหลายทาง ค่านิยม และการปฏิบัติต่างๆ โดย Lasswell & Kaplan (1970)
6.6 ข้อเสนอที่มีเป้าประสงค์เพื่อใช้แก้ปัญหาของประชาชน โดย Carl J. Frederic (....)
--------------------------
7.นโยบายสาธารณะเกิดจาก...
7.1 ทรัพยากรมีจำกัด ซึ่ง
7.1.1 มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ
7.1.2 สัมพันธ์ต่อความต้องการใช้
7.2 ภารกิจของรัฐมีผลต่อ...
7.2.1 การใช้ทรัพยากรแข่งกับเอกชน
7.2.2 การมีอำนาจการเมืองบังคับใช้ทรัพยากร
7.3 มิติในการพิจารณษ...
7.3.1 รัฐมีส่วนทำให้ทรัพยากรลดลง
7.3.2 รัฐเข้าตัดโอกาาสภาคเอกชน
7.3.3 การดำเนินการด้านต่างๆ ของรัฐ (สินค้าสาธารณะ และการรัฐพาณิชย์)
7.3.4 การออกกฎเกณฑ์ (การภาษีอากร การงบประมาณ และการก่อหนี้)
----------------------------
8. รัฐต้องเข้ามาแก้ไข การคลังสาธารณะ โดย...
8.1 การวางเกฎเกณฑ์ทางเศรษฐกิจ
8.2 รักษาการเคารพสิทธิ/สัญญาการค้า
8.3 จัดสรรสินค้า บริการ กลไกตลาด ที่ไม่สามารถกำหนดเพิ่มได้
8.4 การตัดสินใจในการบริโภค การสะสมทุน และการลงทุนเพื่อสังคม
8.5 การป้องกันภาวะเศรษฐกิจ
8.6 ความเป็นธรรมทางสังคม
รัฐมีหน้าที่ด้านการคลังสาธารณะ ดังนี้
8.7 การจัดสรรการใช้ทรัพยากรของสังคม
8.8 การกระจายรายได้และความมั่นคงของสังคม
8.9 การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
8.10 การส่งเสริมความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
----------------------------
9. ระดับการมีส่วนร่วมของประชาชน ต่อนโยบายสาธารณะ
9.1 การให้ข้อมูลข่าวสาร
9.2 การรับฟังความคิดเห็น
9.3 การร่วมปฏิบัติงานและร่วมเสนอแนะ
9.4 การ่วมตัดสินใจ
9.5 การเสริมอำนาจแก่ประชาชน
ซึ่งจากผลข้างต้น จะส่งให้เกิด...
9.6 สนับสนุนระบบราชการให้ตอบสนองความต้องการของประชาชน
9.7 เกิดความใกล้ชิดระหว่างภาคส่วน
9.8 ภาพสะท้อนให้เห็นว่า หน่วยงานสนับสนุนการมีส่วนรวมเพียงใด
9.9 มีผลในเชิงทวีคูณ
ขั้นตอนถัดจากนั้น...
9.10 ระดับความคิด
9.11 การวางแผน
9.12 การลงมือปฏิบัติ
9.13 การติดตามประเมินผล
9.14 การรับประโยชน์ร่วมกัน
หลังจากนั้น จะนำมาซึ่ง...
9.15 การเรียนรู้ร่วมกัน
9.16 เกิดศักยภาพร่วมกัน
9.17 ความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีส่วนร่วม
------------------------------
10. สรุปวิธีการสอนของ รศ.พิพัฒน์ฯ
10.1 บทเรียนที่ได้รับจากการเรียนการสอบมีอะไรบ้าง
10.2 ความหลากหลายในการนิยามศัพท์
10.3 การสร้าง/เกิดการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน ทำให้เห็น...
- ความยาก ที่จะเกิดการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน
- การแสดงออก ของผู้ส่วนส่วนร่วม
- พัฒนาการ ของระดับการมีส่วนร่วม
- การสงวนท่าที ของผู้อยากมีส่วนร่วม
10.4 การสังเคราะห์การมีส่วนร่วมให้เกิดเป็นนโยบาย

*** อ่านแล้วก็งงเองว่าอะไรคืออะไร แต่ทั้งหมดทั้งปวง ท่านอาจารย์ต้องการให้เกิดการเชื่อมโยงเนื้อหาการกำหนดและการวิเคราะห์นโยบายสาธารณะเข้ากับวิธีการเรียนการสอนในห้องเรียน และในเอกสารที่อาจารย์ใช้นำเสนอ บางส่วน(ใหญ่)ไม่มีในเอกสารที่แจก
------------------------------
ของแถมจาก รศ.พิพัฒน์ฯ นำเสนอเป็นเหมือนวงล้อ (ภาษาอังกฤษ)
: วงจร(ข้อจำกัด)ของกลุ่มประเทศ ASIA ที่ Underdevelopment (ไทยน่าจะก้าวข้ามมาแล้วบางข้อ)
1. ระดับการพัฒนาต่ำ
2. มีการแข่งขันกันภายในประเทศน้อย ไม่อยู่ในจิตสำนึก
3. ภาครัฐมีความคาดหวังที่อยากสร้างความเจริญให้เกิดขึ้น
4. การลงทุนของภาครัฐมีน้อย
5. ภาคเอกชนไม่ค่อยไปในทิศทางเดียวกันกับรัฐบาล เกิดการคอรัปชั่น (ตัวถ่วง)
6. บริการสาธารณะต้องปรับปรุง/ตรวจสอบกับนโยบายรัฐบาล
7. เพิ่มการใช้จ่ายของรัฐ เป็นความไม่มีประสิทธิภาพ
8. ก่อหนี้เพิ่มขึ้น
9. ไม่มีใครอยากมาลงทุน
10. ตลาดทุนน้อย
11. Underdevelop private Enterprise
------------------------------
เท่าที่จดทันนะ เพราะฟังท่านอาจารย์แปลจากภาษาอังกฤษ
------------------------------
ขอให้ทุกคนโชคดีและได้เกรดดีๆ (D) ในการสอบ
------------------------------
Tai

อ่านวิชาการ รป.ม. ทั้งหมด

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

PA : รวบรวมข้อมูลวิชาการ รป.ม.

สรุปข้อมูลด้านวิชาการ รป.ม.PA@RU3HM
-------------------------------------------------
โปรดทราบ: PA6XX = PA7XX (6 คือรหัส กทม. 7 คือรหัส ตจว.)
-------------------------------------------------
PA601,PA701: ขอบข่ายและแนวคิดเชิงทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์
(I) PA601,PA701: การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management: NPM)
(II) PA601,PA701: NPM
(III) PA601,PA701: NPM สู่ NPS
(IV) PA601,PA701: ทฤษฎีการบริหาร (Management Theory)

(V) แนวสอบ(เก่า) ปกติมี 3 ข้อ ดังนี้
1) เลือกตอบเพียง 1 ทฤษฎีดังนี้ ได้แก่ ทฤษฎีระบบ ทฤษฎีจัดการเชิงสถานการณ์ ทฤษฎี Z ของ Ouchi และ ทฤษฎี X,Y
2) รายได้- รายจ่ายของรัฐคืออะไร หลักการการจัดเก็บภาษีที่ดีคืออะไร
3) New Public Management (NPM) คืออะไร ประยุกต์ใช้ในหน่วยงานได้หรือไม่ อย่างไร
---------------------------------------------
PA603,PA703: ระบบการเมืองและระบบราชการไทย
(I) PA603,PA703: HEADICE หลักการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี (Good Governance :ธรรมาภิบาล)
(II) PA603,PA703: ระบบการเมืองและระบบราชการไทย 1
(III) PA603,PA703: ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านและ Linkage การเมืองในประเทศ
(IV) PA603,PA703: รวมมิตรระบบการเมืองและระบบราชการไทย
(V) PA603,PA703: แนวคิดด้านองค์การและการบริหาร

(VI) แนวสอบ(เก่า) ปกติจะมี 3 ข้อ ประมาณนี้:-
1) อธิบาย 3 เสาหลักระบบราชการไทย (ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น) และเขียนแผนภาพ พอสังเขป
2) ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ตอบตาม (III) ได้เลย โดยยกตัวอย่างกัมพูชา และแนวทางแก้ไขให้ชัดเจน
3) ระบบราชการไทย จุดอ่อนและแนวทางการปรับปรุง
---------------------------------------------
PA604,PA704: การกำหนดและการวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ
(I) PA604,PA704: แนวทางการกำหนดทางเลือกและการตัดสินใจนโยบายได้ที่นี่
(II) PA604,PA704: ตัวแบบนโยบายสาธารณะ ได้ที่นี่
(III) PA604,PA704: แนวทางการวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ 1
(IV) PA604,PA704: นโยบายสาธารณะแบบเต็มๆ
(V) PA604,PA704: นโยบายสาธารณะ โดย รศ.พิพัฒน์ฯ
(VI) PA604,PA704: การวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ 2
(VII) PA604,PA704: แบบทดสอบนโยบายสาธารณะ
(VIII) แนวสอบ PA604,PA704 #1
(IX) แนวสอบ PA604,PA704 #2
(X) PA604,PA704: แนวทางการวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ จาก ru-e-book
(XI) PA604,PA704: ทำไมอเมริกันชนจึงอ้วน และบทวิเคราะห์ FOOD INC
(XII) PA604,PA704: กินเปลี่ยนโลก
(XIII) ทำวิจัย สู่นโยบายสาธารณะที่ดี
(XIV) FOOD INC บทวิเคราะห์ โดยไข่เน่า
(XV) PA604,704: สรุปข้อมูลแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ 1 - 10 ของไทย
(XVI) PA604,704: จริยธรรม
(XVII) PA604,704: FOOD INC บทวิเคราะห์โดย NONSOUND2009
(XVII) PA604,704: วิเคราะห์บทความสึนามิ โดยหลวงพี่กอล์ฟ
(XVIII) PA604,704: วิเคราะห์วงจรระบบการกำหนดนโยบายสาธารณะ โดยหลวงพี่กอล์ฟ
(XIX) PA604,704: วิเคราะห์ FOOD Inc. และสรุปนโยบายสาธารณะของนักวิชาการ 3 คน โดยหลวงพี่กอล์ฟ
(XX) PA604,704: บทวิเคราะห์บทความการเปลี่ยนแปลงทางสังคม อ.นิธิฯ โดยหลวงพี่กอล์ฟ
(XXI) PA604,704: บทความสึนามิ เสียงฝาก ออกจากใจ 2 ฮีโร่ 5 ปีสึนามิ 5 ปีแห่งการสูญเปล่า
(XXII) PA604,704 ข้อสอบประจำปี 2553
---------------------------------------------
RU600,700: ความรู้คู่คุณธรรม
PA602,702: ระเบียบวิธีวิจัยทางรัฐประศาสนศาสตร์
แนวข้อสอบ PA602,702: ระเบียบวิธีวิจัยทางรัฐประศาสนศาสตร์
PA602,702 แนวการเขียนข้อเสนอการวิจัย ส่ง ดร.วิโรจน์ ก่อสกุล
RU603,703: บัณฑิตศึกษา
---------------------------------
PA609,709: นวัตกรรมและนวัตกรรมในองค์การ
PA609,709: นวัตกรรมและนวัตกรรมในองค์การ ตอน เศรษฐกิจพอเพียง
PA609,709: องค์การและนวัตกรรมองค์การ โดย นก (สุจิรา สรจิตต์ประเสริฐ) รป.ม. 3/1
PA609,709: แนวสอบ/แนวตอบ องค์การและนวัตกรรมองค์การ โดยครูตาล รป.ม.3/1
PA609,709: แนวข้อสอบ/แนวตอบ (รวม)องค์การและนวัตกรรมองค์การ โดยฝ่ายวิชาการ รป.ม.3/1 (ตาล วาส แม๊กซ์ และทีมงาน)
PA609,709: ข้อสอบ องค์การและนวัตกรรมองค์การ
---------------------------------
PA610,710: การบริหารเชิงกลยุทธ์ : แนวสอบ ผศ.วิชัยฯ
PA610,710: การบริหารเชิงกลยุทธ์ : แนวข้อสอบ ดร.สุชาติฯ
PA610,710: การบริหารเชิงกลยุทธ์ : แนวสอบ รศ.สมชัยฯ
PA610,710: การบริหารเชิงกลยุทธ์ : แนวสอบฉบับเต็มจาก รป.ม.5 เชียงใหม่
PA610,710: การบริหารเชิงกลยุทธ์ : แนวสอบโดยประธานโต
PA610,710: แนวสอบการบริหารเชิงกลยุทธิ์
---------------------------------
PA612/712: แนวสอบ/คำถามจาก ผศ.ดร.บุญยง : ประเทศไทยพัฒนาหรือยัง และจะพัฒนาตามแบบญี่ปุ่นได้หรือไม่อย่างไร
PA612/712: แนวสอบ รศ.ชลิดา :คุณภาพชีวิตของประชาชนในชาติ
PA612/712: แนวสอบ รศ.ชลิดา :แปรถิ่น เปลี่ยนฐาน
PA612/712: แนวสอบ รศ.ชลิดา : ความสุขและตัวชี้วัดความของคนในชาติ
PA612/712: แนวสอบ รศ.ชลิดา: การพัฒนามนุษย์ในประเทศไทย
PA612/712: แนวสอบ รศ.ชลิดา: ชุมชนเข้มแข็ง : บทบาทในการพัฒนาชาติ
สรุปข้อสอบที่ออก (ประมาณนี้):
1. ท่านคิดว่าประเทศไทยพัฒนาหรือยัง และจะพัฒนาตามแบบญี่ปุ่นได้หรือไม่อย่างไร ยกแนวคิดทฤษฎีที่เรียนมาประกอบให้ชัดเจน
2. ให้เขียนความหมายและความเชื่อมโยงกันของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเลือกทำ 2 ข้อ ได้แก่ 1) ชุมชนเข้มแข็ง 2) เศรษฐกิจพอเพียง และ 3) คุณธรรมและจริยธรรม
---------------------------------
ข้อมูลวิชาการอื่นๆ จากรุ่นพี่ รป.ม. 5 ระยอง เข้าไปโหลดแล้วใช้ประโยชน์ได้ทันที
รวมทั้งเพื่อนๆ รป.ม. รุ่น 3 ห้อง 1 และ ห้อง 2 รามฯ หัวหมาก
---------------------------------------------
Tai

PA604: การกำหนดทางเลือกและการตัดสินใจนโยบาย1

การกำหนดทางเลือกและการตัดสินใจนโยบาย
อ้างอิงจาก : ศ.ดร. สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ และดร.ศศิชา สืบแสง
---------------------------------------------------
1. การกำหนดทางเลือกนโยบาย
การพัฒนาและการกำหนดทางเลือกนโยบายจะกระทำควบคู่ไปกับการพยากรณ์เกี่ยวกับผลลัพธ์และคุณค่าของทางเลือกนโยบายแต่ละทางเลือกให้ชัดเจน
การศึกษาการพัฒนาและการกำหนดทางเลือกนโยบาย พิจารณาได้จากปัจจัยต่อไปนี้
1. คุณลักษณะสำคัญของทางเลือก
2. การแสวงหาทางเลือกนโยบาย
3. การกลั่นกรองทางเลือกนโยบาย
4. การตรวจสอบทางเลือกนโยบาย
-----------------
1. คุณลักษณะสำคัญของทางเลือกนโยบาย ได้แก่ * การสร้างสรรค์ (creativity) หมายถึง การนำสิ่งใหม่ไปปรากฏให้เป็นจริง * นวัตกรรม (Innovation) หมายถึง การนำสิ่งใหม่ไปสู่การใช้ประโยชน์
2. การแสวงหาทางเลือกนโยบาย จำแนกได้ดังนี้ 1) การพิจารณาระหว่างทางเลือกที่ควรกระทำและไม่ควรกระทำ 2) การพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสม
ทางเลือกนโยบายไม่จำเป็นต้องบรรลุวัตถุประสงค์ด้วยวิธีการเดียวกัน ดังนั้น การค้นหาทางเลือกนโยบายจึงอาจเกี่ยวข้องกับแนวทางพิจารณา 2 ประการคือ 1) การจำแนกลำดับชั้นของแนวทางแก้ไข 2) การตรวจสอบแนวทางแก้ไขตามที่ได้จัดลำดับชั้นไว้
3. การกลั่นกรองทางเลือกนโยบาย มักเป็นกระบวนการที่มีการกระทำซ้ำๆเพื่อให้มั่นใจว่าทางเลือกนโยบายแต่ละทางเลือกมีคุณสมบัติตรงตามที่ต้องการ กระบวนการในการกลั่นกรองนโยบายที่ใช้กันทั่วไป คือ กระบวนการประเมินผล เพื่อหาจุดแข็งและจุดอ่อนของนโยบาย
4. การตรวจสอบทางเลือกนโยบาย ต้องตรวจสอบความเป็นไปได้ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง ด้านต้นทุนและผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เกิดจากการนำทางเลือกนโยบายไปปฏิบัติ ใครคือผู้รับผลประโยชน์และผู้เสียประโยชน์จากทางเลือกนโยบายนั้น การกระจายของผลกระทบที่ไม่คาดหมาย

ข้อดีของ การเปรียบเทียบทางเลือกนโยบาย จะกระตุ้นให้เกิดความคิดในการดัดแปลงทางเลือกนโยบาย เพื่อให้ได้ทางเลือกที่มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น ซึ่งการดัดแปลงทางเลือกดังกล่าวเท่ากับการกำหนดทางเลือกนโยบายใหม่นั้นเอง

2. ทฤษฎีการตัดสินใจเลือกนโยบาย
2.1 ทฤษฎีหลักการเหตุผล (rational/comprehensive theory)
2.2 ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมบางส่วน (the incremental theory)
2.3 ทฤษฎีการผสมผสานระหว่างทางกว้างและทางลึก (mixed scanning)
---------------------------
2.1 ทฤษฎีหลักการเหตุผล ประกอบด้วย
1) ผู้ตัดสินใจต้องเผชิญกับปัญหาที่สามารถจำแนกออกจากปัญหาอื่นได้ หรืออย่างน้อยต้องสามารถพิจารณาเปรียบเทียบกับปัญหาอื่นได้อย่างมีความหมาย
2) ผู้ตัดสินใจมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ เป้าประสงค์(goals) ค่านิยม(values) หรือวัตถุประสงค์(obectives) ที่ผู้ตัดสินใจต้องคำนึงถึงและสามารถทำให้การพิจารณาปัญหามีความชัดเจนและจัดลำดับตามความสำคัญของแต่ละกรณี
3) การตรวจสอบทางเลือกต่างๆในการแก้ไขปัญหาอย่างชัดเจน
4) การตรวจสอบผลลัพธ์ทั้งทางด้านต้นทุน ผลประโยชน์ ข้อได้เปรียบ ข้อเสียเปรียบที่อาจเกิดขึ้นจากการตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่ง
5) การเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นของทางเลือกแต่ละทาง
6) ผู้ตัดสินใจจะเลือกทางเลือกและผลลัพธ์ของแต่ละทางเลือกที่จะต้องตอบสนองต่อ เป้าประสงค์ ค่านิยมหรือวัตถุประสงค์สูงสุดขององค์การ มุ่งเน้นการตัดสินใจเพื่อการบรรลุเป้าประสงค์สูงสุด

2.2 ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมบางส่วน เป็นทฤษฎีที่มีลักษณะของการพรรณนาความเกี่ยวกับกระบวนการตัดสินใจของรัฐบาล การตัดสินใจโดยใช้ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมบางส่วน เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงหรือการเพิ่มเติมจากนโยบายที่มีอยู่อย่างจำกัด สาระสำคัญของทฤษฎี พิจารณาจากองค์ประกอบ ดังต่อไปนี้
1) การพิจารณาในการเลือกเป้าประสงค์หรือวัตถุประสงค์ และการวิเคราะห์เชิงประจักษ์ จะกระทำโดยพิจารณาร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากกว่าการที่จะแยกพิจารณาในแต่ละประเด็น
2) ผู้ตัดสินใจจะพิจารณาเฉพาะทางเลือกบางทางเลือกที่จะใช้ ในการแก้ไขปัญหา ซึ่งจะแตกต่างไปจากนโยบายเดิมเพียงเล็กน้อย
3) การประเมินผลทางเลือกแต่ละทางเลือก จะกระทำเฉพาะเพื่อพิจารณาผลลัพธ์ที่สำคัญของทางเลือกบางทางเลือกเท่านั้น
4) สำหรับปัญหาที่ผู้ตัดสินใจกำลังเผชิญอยู่นั้น ผู้ตัดสินใจจะต้องทำการนิยามปัญหาใหม่อย่างต่อเนื่อง
5) ทฤษฎีนี้ถือว่าไม่มีการตัดสินใจเพียงครั้งเดียวหรือทางแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องเพียงทางเดียว
6) การตัดสินใจโดยพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงจากเดิมบางส่วนเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยในการแก้ไขปัญหาอุปสรรคจากวิธีการอื่นๆ และนำไปสู่สภาพปัจจุบันที่ดีกว่า รวมทั้งช่วยแก้ไขความไม่สมบูรณ์ทางสังคมให้เป็นรูปธรรมมากกว่าการพิจารณาเป้าประสงค์ของสังคมในอนาคต

2.3 ทฤษฎีการผสมผสานระหว่างทางกว้างและทางลึก Etzioni เห็นว่า การตัดสินใจโดยพิจารณาการเปลี่ยนแปลงจากเดิมเพียงบางส่วนจะสะท้อนให้เห็นประโยชน์ของกลุ่ม และองค์การที่มีอำนาจสูงสุดในสังคม แต่ผลประโยชน์ของกลุ่มประชาชนที่ด้อยสิทธิ (the underprivileged) และกลุ่มที่ไม่มีบทบาททางการเมืองจะถูกละเลย
ทฤษฎีการผสมผสานระหว่างทางกว้างและทางลึก จะเปิดโอกาสให้ผู้ตัดสินใจสามารถใช้ประโยชน์จากทั้ง ทฤษฎีหลักการเหตุผล และทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมบางส่วนซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
ทฤษฎีการผสมผสานระหว่างทางกว้างและทางลึกมีความเหมาะสมสำหรับผู้ตัดสินใจนโยบายที่มีขีดความสามารถต่างกัน
แนวคิดของ Etzioni ช่วยให้ผู้สนใจศึกษา เข้าใจข้อเท็จจริงที่สำคัญว่า การตัดสินใจอาจจะแปรผันไปตามขนาดของเรื่องที่จะต้องตัดสินใจ ทั้งในด้านขอบเขตและผลกระทบ และกระบวนการตัดสินใจที่แตกต่างกันอาจจะเหมาะสมกับธรรมชาติที่แตกต่างกันของเรื่องที่จะต้องตัดสินใจ

3. ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกนโยบาย ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกนโยบาย พิจารณาได้จาก 1) ค่านิยม 2) ความสัมพันธ์กับนักการเมือง 3) ผลประโยชน์ของเขตเลือกตั้ง 4) มติมหาชน 5) ประโยชน์ของสาธารณะชน มีรายละเอียด ดังนี้
1) ค่านิยม เป็นผลมาจากกระบวนการหล่อหลอมทางสังคมและการเมือง ซึ่งมีผลต่อความเชื่อและค่านิยมของผู้ตัดสินใจนโยบาย ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ลักษณะของค่านิยมที่มีผลต่อการตัดสินในนโยบาย ได้แก่ (1) ค่านิยมขององค์การ (2) ค่านิยมด้านวิชาชีพ (3) ค่านิยมส่วนบุคคล (4) ค่านิยมด้านนโยบาย และ (5) ค่านิยมด้านอุดมการณ์
2) ความสัมพันธ์กับนักการเมือง ความจงรักภักดีต่อพรรคการเมืองของนักการเมืองแต่ละพรรค มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจนโยบายของนักการเมืองเหล่านี้. รูปแบบของระบอบการเมือง มีผลต่อการแสดงบทบาทของสมาชิกพรรค ดังนี้ (1) รูปแบบการแบ่งแยกอำนาจ สมาชิกมีอิสระที่จะออกเสียงตามมติของพรรคหรือไม่ก็ได้ แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของสมาชิกพรรคได้เป็นอย่างดี กล่าวคือ ถ้าสมาชิกพรรคไม่มีความจงรักภักดีต่อพรรคสมาชิกสามารถออกเสียงลงมติได้โดยอิสระ โดยที่พรรคก็ไม่มีอำนาจลงโทษสมาชิกที่ออกเสียงลงมติในรัฐสภาตรงกันข้ามกับมติพรรค (2) รูปแบบควบอำนาจ พรรคการเมืองรูปแบบนี้ จะมีกฎ ระเบียบในการควบคุม กำกับพฤติกรรมของสมาชิกพรรคอย่างเข้มงวด เพราะการใช้สิทธิออกเสียงของสมาชิกในพรรคมีผลต่อความอยู่รอดของฝ่ายบริหาร ดังนั้น มติของพรรคจึงเป็นสิ่งที่สมาชิกทุกคนต้องปฏิบัติตาม
3) ผลประโยชน์ของเขตเลือกตั้ง มีความสำคัญต่อการตัดสินใจของผู้ตัดสินใจนโยบายมาก เนื่องจาก ประชาชนในเขตเลือกตั้งมีอำนาจที่จะกำหนดอนาคตของนักการเมืองในเขตเลือกตั้งของตนโดยตรง
4) มติมหาชน ผู้ตัดสินใจนโยบายจะต้องให้ความสนใจต่อมติมหาชน ในการกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของคนทั้งประเทศ เพราะอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่ออนาคตทางการเมืองของผู้ตัดสินใจนโยบายอย่างคาดไม่ถึงได้
5) ประโยชน์ของสาธารณชน เป็นเป้าประสงค์ที่สำคัญของนโยบายสาธารณะ การพิจารณาลักษณะของผลประโยชน์สาธารณะ จำแนกได้เป็น 3 ประการ คือ
(1) พิจารณาจากนโยบายในแต่ละด้านว่ามีความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผลประโยชน์มากหรือไม่ หรืออาจพิจารณาจากผลประโยชน์โดยตรงของกลุ่มผลประโยชน์แต่ละกลุ่ม ซึ่งเป็นที่ยอมรับ คือ ผลประโยชน์สาธารณะ
(2) แนวทางที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งสรรผลประโยชน์อย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า ผลประโยชน์สาธารณะ
(3) พิจารณาจากความต้องการขององค์การและระเบียบวิธีปฏิบัติการ จะเป็นตัวแทนการสร้างประโยชน์ที่สมดุล หรือเพื่อการแก้ไขปัญหา เพื่อที่จะมีผลต่อการประนีประนอมต่อการก่อรูปนโยบาย และการนำนโยบายไปปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ จุดเน้นในประเด็นนี้จะมุ่งที่กระบวนการมากกว่าเนื้อหาของนโยบาย

4 รูปแบบของการตัดสินใจนโยบาย
4.1 การต่อรอง (Bargaining) เป็นกระบวนการทางการเมืองที่สำคัญ ซึ่งบุคคลตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไป ซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ ทำการเจรจาเพื่อปรับเป้าหมายที่ไม่สอดคล้องกันให้เป็นที่ยอมรับร่วมกัน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการยอมรับในการนำนโยบายไปปฏิบัติ การต่อรอง แบ่งเป็น 3 ประการ คือ 1) การต่อรองทางลับ 2) การให้รางวัล 3) การประนีประนอม
4.2 การโน้มน้าว (Persuation) ความพยายามที่จะทำให้กลุ่มการเมืองเชื่อมั่นในความถูกต้องต่อข้อเสนอนโยบายของตน เป็นการแสวงหาการสนับสนุนโดยปราศจากการปรับเปลี่ยนข้อเสนอของตน
4.3 คำสั่ง (Command) เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ตามลำดับขั้น ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นการแสดงถึงการใช้อำนาจของผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่า เพื่อการตัดสินใจในเรื่องต่างๆที่มีผลต่อผู้ใต้บังคับบัญชา โดยอาจใช้การให้รางวัล และการลงโทษเป็นเครื่องมือในการสั่งการให้ได้ผล

การประกาศใช้นโยบาย
1. องค์ประกอบของการพิจารณาการประกาศใช้นโยบาย
2. กลยุทธ์การประกาศใช้นโยบาย

องค์ประกอบการประกาศใช้นโยบาย
- พิจารณากลยุทธ์ในการนำไปปฏิบัติในกระบวนการกำหนดนโยบาย
- พิจารณาความเป็นไปได้ทางการเมืองโดยคิดเชิงกลยุทธ์
- ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบการวางแผนปฏิบัติ
- เชิญนักวิเคราะห์ร่วมในกระบวนการผลักดันนโยบายไปสู่การปฏิบัติ

กลยุทธ์การประกาศใช้นโยบายองค์ประกอบพื้นฐานกลยุทธ์ทางการเมือง
1. การประเมินผลและอิทธิพลความเป็นไปได้ทางการเมือง
2. กลยุทธ์ในเวทีทางการเมือง
2.1 สร้างความร่วมมือจากกลุ่มอื่น (co-optation)
2.2 ประนีประนอม (compromise)
2.3 ใช้สำนวนโวหารทางการเมือง (rhetoric)
2.4 การผลักดันนโยบาย (heresthetics)

แหล่งอ้างอิง : http://www.geocities.com/worawut47/policyexam.doc
----------------------------
อ่านแนวทางการวิเคราะห์นโยบายที่นี่

อ่านตัวแบบนโยบายสาธารณะ ได้ที่นี่

นโยบายสาธารณะแบบเต็มๆ
----------------------------
Tai

อ่านวิชาการ รป.ม. ทั้งหมด