วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

PA 609,709: องค์การและนวัตกรรมในองค์การ (โดยนก รป.ม.3/1 หัวหมาก)

PA 609 องค์การ และ นวัตกรรมในองค์การ (โดยนก รป.ม.3/1 หัวหมาก)
Orgarnization and the Innovation
สรุปโดย นก รปม.หัวหมาก รุ่น 3 ห้อง 1
สุจิรา สรจิตต์ประเสริฐ
----------------------------------------
อาจารย์มีหัวข้อบรรยาย ในวิชานี้อยู่ 6 หัวข้อ
1. Orgarnization and the Innovation
2. Information Technology
3. Internet
4. Information System & Organization
5. Modern Orgarnization
6. IT Governance

1.Orgarnization and the Innovation
อาจารย์บอกว่า การพัฒนา และ บริหารจัดการ และมีแนวคิดบริหารจัดการองค์การอย่างไร ซึ่งองค์การจะอยู่
รอดได้ต้องมี
- องค์การต้องมีนวัตกรรมเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
- ระบบคุณภาพ เพราะทุกวันนี้มีการแข่งขันเรื่องมาตรฐานคุณภาพ เช่นหน่วยงานต้องการ ISO เพื่อยืนยันคุณภาพ และเมื่อมีคณุภาพแล้วมีทำให้ลูกค้าพอใจ และสามารถแข่งขันกับหน่วยงานอื่นได้
- พันธมิตรเครือข่าย เราทำกิจกรรมอะไรแล้วมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของเรา ทำธุรกิจอะไรก็ต้องมีพันธมิตร เช่น ม.ราม มีสถาบันคอมพิวเตอร์ เป็นผู้ดูแลระบบไอที ต้องควรมีพันธมิตรค่ายข่ายกับ ไมโครซอฟ จะทำให้ได้ราคาซื้อขายในราคาถูกลง
- ต้องมีสารสนเทศที่ดี และ จะต้องมีช่องการสื่อสารเข้าถึงคนที่เราต้องการที่จะสื่อสารสามารถเข้าถึงได้
2. Information Technology
- เป็นหัวข้อเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีมาสร้างสารสนเทศ
- เป็นหัวข้อเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ว่าประกอบด้วยอะไร
3. Internet
- ทุกวันนี้ Internet มีบทบาทต่อองค์การมากมาย การทำธุรกิจการติดต่อสื่อสาร
ทำให้ก้าวมาสู่เครือข่ายสังคมในการใช้ Internet ซึ่งในสังคมหรือคนจะมีหลายหลากทำให้มีทั้งข้อมูลชั้นดี และไม่ดี ที่อยู่ใน Internet จึงทำเกิดพรบ.คอมพิวเตอร์ออกมาเพื่อควบคุมการใช้เครือข่าย Internet
4. Information System & Organization
- สารสนเทศในองค์การ องค์การทุกองค์การต้องมีข้อมูลข่าวสารเพื่อใช้ในการทำงานใช้ในการจัดการ องค์การต้องมีสารสนเทศโดยมีการแบ่งระดับ ของสารสนเทศ ระดับที่ 1 1TPS ระดับที่ 2 MIS
5. Modern Orgarnization
- วันนี้เทคโนโลยี เข้ามาช่วยบริหารจัดการองค์การอย่างไร ทุกวันนี้ ธุรกิจต้องผูกติดกับไอที ไอที ต้องคู่กับธุรกิจ
6. IT Governance
ต้องมีการตรวจสอบ ทั้ง ด้าน Buisiness Process กับ IT Process เช่น หากตรวจสอบแค่บัญชี ผ(Buisiness Process ) ก็อาจจะไม่รู้ว่ามีการทุจริต เราต้องควรตรวจสอบโปรแกรมบัญชีด้วยว่า อาจจะมีการเขียนโปรแกรมไว้ว่า หาก มีเศษสตางค์ 35 สตางค์ ให้โอนเข้าบัญชีส่วนตัว ก็เกิดทุจริตหลายครั้งก็ได้หลายบาท แล้ว ควรจะต้องมีการตรวจสอบได้โปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ
นก รปม.หัวหมาก รุ่น 3 ห้อง 1
หัวข้อแรก ที่อาจารย์บรรยายคือ
Orgarnization and the Innovation
โดยแยกบรรยาย ระหว่าง Orgarnization กับ Innovation
ความหมายของ Orgarnization ตามที่อาจารย์ได้สอน สรุปย่อๆ ดังนี้
อาจารย์ได้ให้ความหมายขององค์การไว้ว่า เป็นการรวมตัวของคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
เกิดจากปัจเจกชนที่มีความหลายหลาก
แต่มีขีดความสามารถในการทำงานของปัจเจกชนมีข้อจำกัด
แต่ละคนก็มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้าน
ดังนั้นเราต้องเอาคนที่มีความรู้ความสามารถมารวมตัวกัน
เพื่อให้งานของแต่ละคนดำเนินไป
แนวความคิดทางการจัดการ แบ่งเป็น 5 ยุค สรุปย่อๆ ได้คือ
ยุคที่1 ยุคก่อนวิทยาศาสตร์ ลักษณะ คือ ใช้บทลงโทษกับพนักงาน , ใช้การบังคับ , เป็นแบบทาส
ยุคที่ 2 ยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ลักษณะคือ ต้องการเน้นการเพิ่มผลผลิตให้ได้มากๆ โดยเริ่ม
มาเน้นการฝึกทักษะของคน ต้องการให้คนเคลื่อนไหวน้อยที่สุด ใช้เวลาน้อยที่สุด มีการนำระบบสายพานเข้ามาช่วย จ่ายค่าแรงงานตามชิ้นงานที่ผลิตได้ ใครทำมากก็ได้มากใครทำน้อยก็ได้น้อย
ยุคที่ 3 แนวความคิดมนุษย์สัมพันธ์ ลักษณะคือเน้นคน คนมีชีวิตจิตใจ คนมีความต้องการ 5 ระดับ (ทฤษฎีของมาสโลว์)
ยุคที่ 4 ยุคของการจัดการเชิงปริมาณ บอกว่าการตัดสินใจในการทำงานควรมีการตัดสินใจร่วมกัน
ยุคที่ 5 ยุคขอการจัดการสมัยใหม่ เกิดแนวคิดทฤษฎีระบบ , ทฤษฎี x y z และ มีการพัฒนามาจนถึง KM (Knowledge Management ) อาจารย์ได้บอกว่า เราต้องทำองค์กรของเราเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ก่อนเราถึงจะบริการจัดการองค์ความรู้ได้
คนที่มีความรู้ ต่อมาเขาไม่อยู่ในองค์กรแล้ว จะทำให้ความรู้ของคนนั้นหายได้ด้วย องค์กรควรนำความรู้นั้นมาเก็บไว้ในระบบ เพื่อให้คนอื่นมาต่อยอดได้ มาศึกษาได้
Knowledge จะมี 2 ประเภทคือ 1. Explicit คือ ความรู้ที่ได้มีการวิเคราะห์ ได้มีการวิจัย ได้มีการจดบันทึก ความรู้จากตำราต่างๆ สามารถเอามาปฎิบัติได้ 2.Tacit ความรู้ที่อยู่ในตัวคน สามารถที่เอาไปใช้ได้แต่ยังไม่มีใครนำบันทึก เป็นความรู้ที่เกิดจากความชำนาญจนทำงานได้เร็วขึ้น ตรงนี้ควรไปศึกษาเพิ่มเติม
ระดับการบริหาร ได้แบ่งออกเป็น 3 ระดับ
1. ผู้บริหารระดับสูง ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย วางแผน
2. ผู้บริหารระดับกลาง ทำหน้าที่ควบคุมและติดตามการปฎิบัติงาน
3. ผู้บริหารระดับต้น ทำหน้าที่ ทำงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้รับมอบหมายไว้
Fayol ได้บอกว่าในการบริหารจัดการนั้นแบ่งออกเป็น 4 ระดับคือ
1. planning : วางแผน กำหนดเป้าหมาย สร้างกลยุทธ์
2. organizing : จัดโครงสร้างที่ชัดเจน มีการแบ่งงานกันอย่างชัดเจน
3. controlling : การติดตามควบคุมว่าเป็นไปตามแผนหรือไม่
4. leading : การสร้างแจงจูงใจ
อาจารย์บอกว่า การพัฒนาโครงสร้างขององค์กร เดิม เป็นแเบบ ปิระมิด มีโครงสร้างขององค์องค์กร ต้องเป็นไปตามลำดับขั้น ช้า
เมื่อมี ไอทีเข้ามาใช้ทำให้ โครงสร้างขององค์การเปลี่ยนไปคือแบนราบ ลดขั้นตอน รวดเร็วขึ้น ดังนั้นไอทีมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาองค์กร
กระบวนการจัดการ MODEL OF MANAGEMENT
สิ่งที่เราต้องการคือผลผลิต ซึ่งผลผลิตอาจจะออกมาในรูปผลิตภัณฑ์ สินค้า การบริการ ซึ่งกระบวนการดังนี้
INPUT ได้แก่ 4 M เมื่อโลกเปลี่ยนก็พัฒนามาเป็น 6 M จนเป็น 8 M บวกกับ T&T คือ T ตัวแรกคือ เทคโนโลยีเฉพาะด้านขององค์กร กับ เทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับตัวที่ 2 คือ Timing
Process คือขบวนการบริหารจัดการซึ่งต้องมีประสิทธิภาพเพิ่อให้ผลผลิตตามเป้าหมาย ขบวนการบริหารจัดการได้แก่ planning : วางแผน กำหนดเป้าหมาย สร้างกลยุทธ์ organizing : จัดโครงสร้างที่ชัดเจน มีการแบ่งงานกันอย่างชัดเจน controlling : การติดตามควบคุมว่าเป็นไปตามแผนหรือไม่ leading : การสร้างแจงจูงใจ
OUTPUT คือ สินค้า หรือการบริการ สิ่งที่ตามมาคือกำไร ที่จะได้รับ แต่ทุกวันที่ธุรกิจจะไม่วังแค่ผลกำไรสูงสุดเท่านั้น แต่ต้องการดูแลภาคสังคมด้วย CSR ประกอบด้วย สิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม แรงงาน การไม่ยอมการทุจริต วันนี้ธุรกิจเริ่มมีเปลี่ยนจะได้มีทั้งได้กำไรบวกความสุข Business Enterprice
ภารกิจของผู้บริหารหากแบ่งตามทักษะแล้ว จะมี 3 ระดับคือ
1. ทักษะด้านงานเทคนิค คือทักษะด้านการปฎิบัติงาน เช่นจบด้านบัญชีก็มีทักษะด้านบัญชี จบคอมฯ ก็มีทักษะด้านคอมฯ เป็นการทำงานเบื้องต้น
2. ทักษะด้านมนุษย์ เป็นทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ การติดต่อสื่อสาร ในการทำงาน โดยมีการติดต่อ ทั้งผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา และ เพื่อนที่อยู่ระดับเดียวกัน
3. ทักษะด้านมโนทัศน์ คือแนวคิดในการทำงาน เราควรมีแนวคิดในการทำงานมีการสร้างสรรค์งาน เพื่อการพัฒนา
สรุปได้ว่าหากเราเข้าทำงานใหม่ มีระดับทักษะด้านงานเทคนิค เมื่อเริ่มเป็นผู้จัดการ งานในหน้าที่ลดลง งานติดต่อสื่อสารมากขึ้น มีแนวคิดในการพัฒนางานมากขึ้น สามารถมีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานได้ในระดับหนึ่ง หากเราก้าวไปดเป็นผู้บริหารต้องมีทักษะด้านความคิด มีนวัตกรรมอะไรใหม่ๆ ให้เราคิดพัฒนาองค์การ
นก รปม.หัวหมาก รุ่น 3 ห้อง 1

นวัตกรรม Innovation
องค์การจะอยู่รอดต้องมีนวัตกรรมเกิดขึ้น
ความหมายของนวัตกรรม หมายถึงวิธีการ หลักปฎิบัติ แนวคิด และสิ่งประดิษฐ์ ใหม่ๆ ของบุคคล ที่นำมาใช้ในการปฎิบัติงาน ด้านต่างๆ
ทำให้เกิดกระบวนการ
1. การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่หรือปรับปรุงของเก่า ให้เหมาะสมกับสภาพงาน
2. มีการพัฒนาปรับปรุง โดยผ่านการทดลองหรือวิจัยจนมีประสิทธิภาพน่าเชื่อถือได้
3. มีการนำไปทดลองใช้ในสถานการณ์จริงและปรับปรุงจนเกิดประสิทธิภาพ
วิธีคิดวิธีสร้างสรรค์นวัตกรรมมีอยู่ 4 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่ 1 เราต้องคิดสร้างสรรค์ คิดว่าต้องการทำนั้นทำนี่ Idea general ation
ขั้นตอนที่ 2 คิดว่าเราจะต้องมีการประเมินว่าทำออกมาแล้วผลจะเป็นอย่างไร จะกระทบอะไรหรือไม่ ดูความเป็นไปได้หรือไม่ เช่น จะทำให้การบริการดีขึ้นหรือไม่ ทำแล้วจะทำให้ผู้บริโภคจะรับได้หรือไม่ ระบบขนส่งจะเป็นอย่างไร ระบบการขายจะเป็นอย่างไร
ขั้นตอนที่ 3 พัฒนาขึ้นมาเป็นผลิตภัณฑ์ สินค้า หรือการบริการ
ขั้นตอนที่ 4 นำไปใช้ทดลอง นำสินค้าไปขาย หรือ นำไปใช้งาน
สินค้าในที่นี้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. สินค้าที่มีรูปร่าง จับต้องได้ ต้องมีการขนส่ง
2. สินค้าที่ไม่รูปร่าง จับต้องไม่ได้ ได้แก่ โปรแกรม ซอฟแวร์ สื่อเพลง ภาพยนต์ ซึ่งสามาถส่งผ่านการสื่อสารได้ ตกลงซื้อขายกันแล้ว ก็ส่งสินค้าผ่านมาให้ผู้ซื้อโดยส่งผ่านทางเครือข่ายการสื่อสาร
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราสร้างนวัตกรรมให้มันเกิดในรูปสินค้า ที่ไม่มีรูปร่างได้ เราไม่จำเป็นต้องออกไปขายสินค้า เช่น การซื้อตั๋วเครื่องบินผ่านทางเน็ต
ตัวขับเคลื่อนที่ทำให้เกิดนวัตกรรม มีอยู่ 3ปัจจัยคือ
1. Buiness หน้าที่หลักคือ การเงิน การจัดการบัญชี บุคลากร ฯลฯ
2. Technology หน้าที่หลักคือ ออกแบบ สนับสนุนระบบอุตสาหกรรมการผลิต ฯลฯ
3. Human Values หน้าที่หลัก คือจิตวิทยา มนุษยวิทยา สังคมวิทยาฯลฯ
ซึ่งทั้ง 3 ส่วนเอื้อประโยชน์ต่อกัน ธุรกิจเมื่อนำไอทีมาใช้ ไอทีก็จะช่วยในด้านสนับสนุนด้านการผลิต Supply chain เมื่อคนนำไอทีมาใช้ ก็จะช่วยในการออกแบบสร้างสรรค์ พัฒนาสิ่งต่างๆ ปกติไอทีเป็นเครื่องมือให้คนเกิดแนวคิดมากมาย และ เมื่อธุรกิจนำคนมาใช้เกิดโครงสร้าง องค์การ ทีมงาน
ทั้ง 3 ส่วน เป็นแรงผลักดันทำให้เกิดนวัตกรรม
สรุปได้ว่า ตัวขับเคลื่อนที่ทำให้เกิดนวัตกรรม คือ
การแข่งขันด้านราคา คิดนวัตกรรมก่อนก็สามารถกำหนดราคาได้ก่อนคนอื่น
เทคโนโลยี มันเกิดขึ้นแล้วมันเปลี่ยนแปลงเร็ว วันนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลง 18 เดือน
จะมีการเปลี่ยนแปลงถึง 2 เท่า ราคาลดลงมาก
ความต้องการขอคน คนมีความต้องการหลากหลาย
สิ่งที่เราต้องการคือคนที่คิดสร้างนวัตกรรมใหม่ เราต้องจะต้องศึกษาตลอดเวลา เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมสำหรับเราและองค์กร
และเมื่อนำเทคโนโลยีมาใช้ในองค์กรแล้ว ก็จะทำให้เกิดการปรับเปลี่ยน หรือเกิดแรงกดดันในองค์กรดัวนั้
1. บทบาทหน้าที่ของคนในองค์กร เนื่องจากเราต้องมีการฝึกทักษะในการใช้ ไอที จึงต้องมีการปรับเปลี่ยน วิธีการทำงาน คนต้องไปศึกษาเพิ่มเติมให้มีทักษะเพิ่อรองรับกับไอที
2. โครงสร้างองค์กร ต้องเปลี่ยน เพราะคนที่มีหน้าที่ดูแล ไอที ต้องเข้ามาพัฒนาดูแลรับผิดชอบ ต้องมีการเพิ่มแผนก ไอที
3. กระบวนการจัดการต้องเปลี่ยน เมื่อมีไอทีมาช่วยก็จะทำให้เราทำงานได้รวดเร็วสะดวกขึ้น โดยมีระบบงานเข้ามาช่วย
4. กลยุทธ์ เมื่อมีการปรับเปลี่ยนทั้ง3ข้อ ดังนั้นกลยุทธ์ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงด้วย
กระบวนการที่เกี่ยวเนื่องกับนวัตกรรม
1. นวัตกรรมด้านกระบวนการ คือนวัตกรรมที่เกิดจากกระบวนการ ปรับกระบวนการให้มันดีขึ้น เช่น พัฒนานวัตกรรมแบบให้เกิดงานใหม่ เช่นการเข้าแถวรอคอย
2. นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ เช่นปรับโฉมเครื่องใช้ไฟฟ้า
3. นวัตกรรมด้าน รูปแบบธุรกิจ เช่น อยากกินเคเอฟซี ก็สั่งทางโทรศัพท์
Quality Assurance :เป็นแนวคิดของ Kano House Model
แนวคิดทางการบริหารอย่างมีคุณภาพ
ลูกค้าพึงพอใจในตัวสินค้า เพราะสินค้าที่มีคุณภาพ
สินค้ามีคุณภาพเพราะพนักงานมีความตั้งใจในการผลิต
การบริหารอย่างมีคุณภาพต้องมีเสาหลักอยู่ 3 เสาคือ
เสาแรก คือ เสาเทคนิค ทำหน้าที่ คิดวิเคราะห์ปัญหา ที่เกิดขึ้นในองค์กร รวบรวมวิเคราะห์ปัญหา โดยมีเครื่องมือ เช่น 7 QC
เสาที่สอง คือเสา Concepts เป็นเครื่องมือสำหรับพนักงาน โดยมีเครื่องมือ เช่น PDCA
เสาที่สาม คือเสาสำหรับผู้บริหาร เมื่อได้ข้อมูลจากเสาที่สองแล้ว ก็จะนำมาใช้ในการวางแผน เพื่อปรับเปลี่ยน ปรับปรุงระบบในองค์การ เป็น policy
แต่เสาทั้ง 3 จะอยู่ได้ต้องมีฐาน ได้แก่
ฐานแรงจูงใจ เพื่อให้เกิดขวัญและกำลังใจในการทำงาน
ฐานเทคโนโลยี เราจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีเฉพาะด้าน และเทคโนโลยีสารสนเทศ องค์กรควรมีเทคโนโลยีที่เหนือกว่าคู่แข่ง เพื่อที่จะเกิดการได้เปรียบคู่แข่งขัน
นก รปม.หัวหมาก รุ่น 3 ห้อง 1


บทที่ 2
Information Technology ( สารสนเทศ + เครื่องไม้เครื่องมือ )หรือ (สารสนเทศที่เกิดจากเทคโนโลยี)
ความหมายของ เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง ความรู้ในผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการดำเนินการใดๆ ที่อาศัยเทคโนโลยี ทางด้านคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์ คอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์ การติดต่อสื่อสาร การรวบรวมและการนำข้อมูลมาใช้อย่างทันการ
เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพทั้งทางด้านการผลิต การบริการ การบริหาร และการดำเนินการ รวมทั้งเพื่อการศึกษาและการเรียนรู้
ซึ่งจะส่งผลต่อความได้เปรียบ ทางด้านเศรษฐกิจ การค้า และ การพัฒนาคุณภาพชีวิต และคุณภาพของประชาชนในสังคม
ระบบสารสนเทศ และองค์การ มีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันอย่างยิ่ง
ซึ่งระบบสารสนเทศที่ใช้ในองค์การจะต้องมีลักษณะที่สอดคล้อง
เป็นไปในทิศทางเดียวกับลักษณะขององค์การ
เพื่อจัดเตรียมระบบสารสนเทศ ให้กับ บุคลากรในองค์การ
ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
สารสนเทศที่เกิดจากเทคโนโลยีประกอบด้วย
-ฮาร์ดแวร์ คือตัวเครื่องคอมพิวเตอร์
-ซอฟแวร์ คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ คำสั่งที่ทำให้ระบบตัวเครื่องมันทำงาน
-ข้อมูล
-และมีการเชื่อมโยงกันโดยผ่านเครือข่ายการสื่อสาร ก็จะได้ Information (หรือ Information คือข้อมูลที่ผ่านการประมวลผล) สารสนเทศเป็นทรัพยากรสำคัญขององค์การ
-มีขั้นตอนการทำงาน
-คนเพื่อสั่งการให้ทำงานได้
ความสัมพันธ์ขององค์การ และระบบสารสนเทศ
1.องค์การต้องมีโครงสร้าง (มีการกำหนดหน้าที่การรับผิดชอบที่ชัดเจน)นอกจากนั้น องค์การต้องมีวัฒนธรรมองค์การ มีคุณธรรม จริยธรรม
2.องค์การต้องมีการบริหารการจัดการ ซึ่ง 4 หน้าที่หลัก
3.มี บทบาทของคนในองค์การ ต้องรู้ว่าใครมีหน้าที่อะไร ต้องจัดสรรคนเข้าทำงาน และแต่ละคนต้องรู้ว่าตัวเองมีหน้าที่อะไร
สารสนเทศที่ใช้ในองค์การมีหลายระดับ ได้แก่
TPS สารสนเทศที่เชิงรายงาน
MIS สารสนเทศที่ใช้ในการบริหารจัดการ
DSS สารสนเทศที่ใช้ในการสนันสนุนการตัดสินใจ
ESS สารสนเทศที่ใช้สำหรับผู้บริหารระดับสูง
-และเราจำเป็นต้องกำหนดระบบของเขตของสารสนเทศให้ชัดเจน ( system boundary )
-องค์การจะไปถึงเป้าหมายต้องมีสารสนเทศสนับสนุน โดยสารสนเทศต้องอยู่บนขอบเขตที่เรากำหนด
-บริษัทที่ผลิตสินค้าเองอยู่กี่แห่ง มีผู้ผลิตสินค้าเองกี่ราย สังคมต้องการมีมากน้อยแค่ไหน ระบบภาษีเป็นอย่างไร ระบบเศรษฐกิจเป็นอย่างไร วัตถุดิบเป็นอย่างไร ซึ่งพวกนี้เราถือว่าเป็น External Information
ส่วนประกอบระบบสารสนเทศ ประกอบด้วย
Input ผ่านกระบวนการ Process คือการ ประมวลผล โดยใช้โปรแกรม ซอฟแวร์เพื่อใช้ในการ ประมวลผล มีคนเพื่อใช้ในการประมวลผล มีที่เก็บข้อมูล มีเครื่องมือ และจะออกมาเป็น Output ผลลัพธ์ที่เป็น รายงาน กราฟ เสียง ฯลฯ และจะมี Feedblack กลับ เนื่องจากอาจเกิดปัญหา
ดูแล้วสิ่งที่ออกมามันไม่ถูก มันผิดเพราะเจ้าหน้าที่ใส่ข้อมูลผิด ใส่โปรแกรมผิด ฯลฯ ปัญหามันเกิดจากจากตรงไหน จึงนำกลับไปแก้ไข ปรับแก้ไขให้ถูกต้อง
นก รปม.หัวหมาก รุ่น 3 ห้อง 1

บทที่ 4 Information System & Organization ระบบสารสนเทศในองค์การ
-องค์การทุกองค์การต้องมีสารสนเทศ และ สารสนเทศที่ใช้ต้องมีประสิทธิภาพ ระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพนั้นจำเป็นต้องอาศัย ฮาร์แวร์ ซอฟแวร์ ข้อมูล ระบบเครือข่าย (communication)
ธุรกิจสมัยใหม่ ต้องดูสภาพแวดล้อมภายนอกที่เกี่ยวข้องด้วย และเอาข้อมูลภายใน ข้อมูลภายนอกมาประกอบการพิจารณาเพื่อประกอบการวางแผน
ระบบสารสนเทศ มาใช้เพื่อการสนับสนุนในการทำงานของทุกหน่วย ทุกระดับ ในแต่ระดับมันมีปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำงาน ดังนั้นต้องเอาสารสนเทศไปช่วยเขา เอาข้อมูลไปช่วยเขา เพื่อให้ปัญหามันลดลง
สารสนเทศที่นำมาใช้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม
1. สารสนเทศในเรื่องการสนับสนุนการทำงาน TPS เป็นสารสนเทศพื้นฐาน หรือ สารสนเทศเชิงรายการ เข้ามาที่ละรายการ เช่น ลูกค้าเขามาฝากเงิน ที่ธนาคารที่ละคน เราก็บันทึกทีละคน เราเรียกว่าสารสนเทศเชิงรายการ ใช้กับกลุ่มคนทำงาน เจ้าหน้าที่เคาท์เตอร์ เจ้าหน้าที่รับลงทะเบียน
2. สารสนเทศในการสนับสนุนการบริหารงาน ซึ่งเมื่อข้อมูลที่เขามาทุกวัน เราก็เอามารวมกันแล้ว ก็ไปผ่านระบบ ได้แก่
ระบบ MIS คือระบบสารสนเทศสำหรับการบริหารจัดการ เช่น เมื่อได้ข้อมูลเข้ามาก็สามารถนำไปจัด สอบของมหาวิทยาลัยได้
ระบบ DSS คือระบบสารสนเทศใช้ในการสนับสนุนในการตัดใจ ในการทำงานขององค์กรทุกหน่วยงานก็มีปัญหา จึงต้องใช้ระบบ DSS เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละหน่วยแต่ละฝ่าย
ระบบ EIS คือระบบสารสนเทศของผู้บริหารระดับสูง เมื่อผุ้บริหารได้ข้อมูลตรงนี้สามารถนำมาปรับย้ายฐาน เปลี่ยนผลผลิต เช่น ดูข้อมูลแล้วเห็นว่าไทยค่าแรงแพงก็ย้ายไปเวียดนาม
(ระบบสนันสนุนการบริการนี้ใช้ในการสนับสนุนผู้บริการตั้งแต่ระดับต้น ระดับกลาง ระดับสูง
และไม่ว่าจะมีกี่ฝ่ายกี่แผนก ทุกแผนกต้องมี TPS )
เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติการ ต้องการ สารสนเทศ TPS ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมเครื่องจักร ว่าเครื่องจักรจะควบคุมอย่างไร วัตถุดิบจะต้องใส่อะไร จำนวนเท่าไร เมื่อหมดแล้วต้องไปเบิกตรงไหน
กลุ่มที่มีความรู้ในการใช้เครื่องไม้เครื่องมือในเรื่องการออกแบบ ออกแบบในเรื่องผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ เพราะเขาใช้เครื่องมือเป็น หากเป็นบัญชีก็ทำหน้าที่วิเคราะห์บัญชี วิเคราะห์การเงิน
ผู้จัดการฝ่ายผลิต จะวางแผนการผลิต ดูว่าวัตถุดิบเพียงพอหรือไม่ ขณะที่หน่วยงานให้ผลิต 1,000 ชิ้น ดูว่าวัตถุดิบ แต่ละประเภทเป็นอย่างไร วางแผนการผลิตให้ได้ตามเป้าตามที่ผู้บริหารระดับสูงกำหนดไว้ ติดตามและประเมิน
ผู้บริหารระดับสูง ดูแลอำนวยความสะดวก ดูว่าเครื่องจักรที่มีอยู่เพียงพอต่อการผลิตหรือไม่ พื้นที่ไม่เพียงพอต่อการเก็บหรือไม่
สำหรับฝ่ายขาย เจ้าหน้าที่ฝ่ายขาย จัดทำคำสั่งซื้อ สำหรับผู้จัดการฝ่ายขาย ต้องการวิเคราะห์ว่าสินค้าขายที่ไหนดี
วิเคราะห์ราคาสินค้า
ชนิดการตั้งสินใจ
การตัดสินใจแบบมีโครงสร้าง คือการตัดสินใจเป็นไปตามระเบียบ กฎเกณฑ์ กติกา ข้อบังคับ ของหน่วยงาน เช่น รับสมัครนักศึกษา ปรากฎว่า ผู้สมัครเอาเอกสารมาไม่ครบ เจ้าหน้าที่รับสมัครไม่สามารถรับสมัครได้ ต้องเอามาครบตามระเบียบ เป็นการตัดสินใจของผู้ปฎิบัติงานโดยใช้สารสนเทศ TPS
การตัดสินใจแบบกึ่งโครงสร้าง เป็นการตัดสินใจตามระเบียบ กฎเกณฑ์ กติกา ข้อบังคับ ของหน่วยงานส่วนหนึ่งและอีกส่วนหนึ่งละไว้ เพราะมีอำนาจเป็นผู้จัดการ หัวหน้าฝ่าย หัวหน้าแผนก เจ้าหน้าที่เคาท์เตอร์รับไม่ได้ ไปหาผู้จัดการ อาจจะให้สมัครได้แต่ต้องเอามาวันพรุ่งนี้ ใช้สารสนเทศ MIS , DSS ( ผู้บริหารระดับกลาง ผู้จัดการ มีรูปแบบการตัดสินใจแบบกึ่งโครงสร้าง )
ผู้บริหารระดับสูง เมื่อได้รับข้อมูล EIS ,DSS จะมีการตัดสินใจ แบบไม่มีโครงสร้าง เมื่อเห็นว่า สินค้าตัวเดิมหรือ ตลาดเดิมขายไม่ได้ ก็เปลี่ยนหาสินค้าตัวใหม่เข้ามา เนื่องจากเขาเป็นเจ้าของกิจการ
นก รปม.หัวหมาก รุ่น 3 ห้อง 1

7. Modern Orgarnization
เมื่อโลกเปลี่ยน องค์กรก็ต้องเปลี่ยน เราอาจเอาคอมพิวเตอร์ตัวเดิม ปรับหาวิธีคิดให้มันใช้งานได้สะดวกขึ้น
อดัม กรีนสแปน บอกว่า อินเทอร์เน็ต กำลังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ระบบเศรษฐกิจของโลก
เรียกว่า เศรษฐศาสตร์เครือข่าย และเป็นระบบการค้าที่ไร้พรมแดน
Peter f Drucker Guru of Guru แห่งการจัดการสมัยใหม่ เชื่อว่า จะก่อเกิดการปฎิวัติครั้งสำคัญ โดยมีเทคโนโลยีและสารสนเทศ เป็นตัวขับเคลื่อนและส่งผลให้โฉมหน้าของอำนาจเปลี่ยนไป จากอำนาจทุน เป็น อำนาจความรู้
เราต้องมีความรู้ เป็นคนที่มีความคิด ทำให้เกิดปัญญา
โลกาภิวัตน์ คือผลจากการพัฒนาการติดต่อสื่อสาร การคมนาคมขนส่ง และเทคโนโลยีสารสนเทศ อันแสดงให้เห็น ถึงการเจริญเติบโต ของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี และวัฒนธรรม ที่เชื่อมโยงระหว่างปัจเจกบุคคล ชุมชน หน่วยธุรกิจ และรัฐบาล ทั่วโลก
เดิมเชื่อว่าโลกว่าโลกกลม ยุคที่โคลัมบัส ค้นพบอเมริกา ได้นั้น เชื่อว่ามีระบบคมนาคมที่ดี ระบบการเดินทางสะดวกขึ้น ทำให้วัฒนธรรมจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่ง จึงถือว่าเป็นการเกิดโลกาภิวัฒน์ ยุคแรก โดยยุคนี้เป็นยุคแห่งการล่าอาณานิคม จึงมีแนวคิดว่า ประเทศของฉันจะแข่งกับประเทศอื่นได้อย่างไร ประเทศไหนแข็งแรงก็ได้เปรียบ ยูโรปก็จะมาล่าอาณานิคมจากประเทศที่เล็กกว่า
ในยุคที่ 2 อยู่ในยุดช่วงของสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 มีการปฏิวัติอุสาหกรรม เป็นยุคที่มีเครื่องมือเครื่องไม้สะดวกขึ้น มีรถไฟ มีเรือ สื่อสารคมนาคมที่ดี ทำให้การสื่อสารวัฒนธรรมจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งได้เร็วขึ้น โดยบอกว่าเราจะสร้างบริษัทในต่างประเทศได้อย่างไร
ในยุดปัจจุบัน ในโลกมีการสื่อสารเร็วขึ้น เมื่อโลกแบนราบ ปัจเจกชนเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ได้เร็ว โดยบอกว่าเราจะแข่งกับคนในโลกได้อย่างไร เป็นเรื่องคนกับคน
ในโลกของอินเทอร์เน็ตมันเร็วมาก ใครสามารถคิดค้นอะไรได้ก่อนก็จะทำให้สามารถสร้างคุณค่าให้กับตัวเองได้
โทมัส ฟรีดแมน บอกว่าโลกแบน ประการที่ 10 ที่ทำให้โลกแบนคือ The Steroids โดยมี 4 ตัวคือ
Digital สามารถส่งข้อมูลได้เร็ว และไม่ผิด
Mobil เราสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ เราไม่จำเป็นต้องทำงานที่ออฟฟิค
Personal มันมีความเป็นส่วนตัว ไม่มีใครมารบกวน
Virtual มันเป็นโลก ที่มีห้องเรียนโดยผ่านอินเทอร์เน็ต
ความรู้มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะข้อมูลมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
สารสนเทศมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สารสนเทศมันมีข้อมูลเต็มไปหมดไม่รู้ว่าอะไรมันผิดมันถูก ต้องวิเคราะห์
เมื่อโลกเจริญขึ้นการเคลื่อนย้ายคนสะดวกขึ้นแต่เราไม่ต้องเคลื่อนย้ายคน
การเคลื่อนย้ายแรงงานไปทำงานที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ คนทำงานจากอีกที่ก็สามารถสื่อสารผ่านศูนย์ไอทีที่ใหญ่ในโลก เช่นที่อินเดีย
The Three of Business Pressure
แรงกดดันที่ทำให้องค์กรเปลี่ยนแปลง
Business Environment (Pressures)
แรงกดดัน หรือ แรงผลักดัน ที่ทำให้องค์กรเปลี่ยน มี 3 ประการคือ
1.Economic (market) เศรษฐกิจ และแรงงาน
Global economy and strong competition
วันนี้ตลาด(เศรษฐกิจ)โลก มันมีการแข่งขันที่สูง
Need for real-time operations
ผู้บริโภคมีความต้องการลักษณะ real time เช่น ถามอะไรต้องตอบทันที หรือส่งเครื่องไปต้องซ่อมทันที หรือ ส่งข้อมูลอะไรไปต้องตอบทันที
Changing workforce
แรงงานมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แรงงานมีการย้ายโอนไป แต่ไม่จำเป็นต้องย้ายตัวบุคคลไป
Powerful customers
ผู้บริโภคมีความสามารถซื้อสูงขึ้น ผู้บริโภคมีประสิทธิภาพสูงขึ้นเพราะเข้าถึงข้อมูล เช่นอยากซื้อตู้เย็นก็ ดูจาก อินเตอร์เน็ตได้ว่าอันไหนถูก
2.Societal ,Poitical , Legal สังคม การปกครอง กฏหมาย
Terroist attacks and homeland security
การโจมตีก่อการร้าย และการรักษาความปลอดภัย ความปลอดภัยในชุนชน เพราะผู้ก่อการร้ายก็นำไอทีไปใช้ในการก่อการร้าย
Ethical issues
ปลูกฝังจริยธรรม วันนี้จริยธรรมของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ทุกวันนี้พยายามลักลอบขโมยข้อมูล
Compliance with government requlations and deregulations
การปฏิบัติตามระเบียบกฎหมาย กฎหมายออกไม่ทันกับเทคโนโลยี ที่มีการปรับเปลี่ยน วันนี้มือถือสามารถดูทีวีได้ กฎหมายก็ออกไม่ทัน พรบ.คอมฯ ทำให้สังคมเรียบร้อยขึ้น
Social responsibility
ความรับผิดชอบต่อสังคม ตอบสนองภาคสังคม ซึ่งทุกวันนี้สังคมต้องการภาคธุรกิจ หรือองค์กรทั้งหลายดูแลสังคมอย่าเอาเปรียบสังคมต้องมี CSR ( Corporate Social Responsibility ) ธุรกิจอย่าทำกำไรอย่างเดียว ธุรกิจต้องดูในเรื่องสิทธิมนุษย์ชน ดูในเรื่องแรงงาน ดูในเรื่องสิ่งแวดล้อม ดูในเรื่องการไม่ยอมรับการทุจริต
3.Technology
Information overload
ข้อมูลเกินพิกัด คือ วันนี้ข่าวสารดูง่ายนิดเดียว และรวดเร็วสามารถสื่อสารได้ทั่วโลก ข่าวสารมัน เยอะ สามารถทราบข่าวสารได้ทั่วโลก ช่องทางการในการรับส่งข้อมูลมีมากมาย แต่ไม่ทราบว่าข่าวสารนั้นมันถูกหรือผิด ผู้รับข้อมูลเองเมื่อได้รับข้อมูลต่างๆ ต้องวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับด้วย
Technological innovation and obsolescence
เทคโนโลยี นวัตกรรม เนื่องจากเทคโนโลยี มีการพัฒนาเร็ว สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ หรือ นวตกรรมที่เกิดขึ้นหรือถูกสร้างวันนี้มันอายุสั้น อายุการใช้งานยังไม่หมด แต่อายุของ innovation มันหมด เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีมันเร็วมาก เช่น การพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ เนื่องจากเทคโนโลยีทุกวันนี้มันพัฒนาเร็ว
ฉะนั้นสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำ คือ Organization Performance Responses ทำช่องทางองค์กรของเราให้รองรับ หรือ มีสมรรถนะในการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาจาก 3 องค์ประกอบข้างต้น ดังนั้นเรา ต้องสร้างสมรรถนะองค์กรให้เกิดขึ้นเพื่อที่จะผลักดันหรือตอบสนองธุรกิจ สิ่งที่ต้องทำคือเอาไอทีเข้ามาช่วย เพราะไอทีจะทำให้การทำงานเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพในการนำไอทีเข้ามาช่วยนั้นจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 คือด้านล่าง คือการดำเนินงาน ระบบการเงิน ระบบบัญชี ระบบบุคลากร และเราต้องมีระบบ KM หรือ การจัดการความรู้ ซึ่งเป็นระบบด้านหลังของหน่วยงาน และ เวลาติดต่อภาคประชาชนต้องมีระบบดูแลลูกค้า CRM (Customer Relationship Management) คือระบบลูกค้าสัมพันธ์ ระบบดูแลลูกค้า 2 ระบบทำให้องค์กรอยู่รอด
นอกจากนั้นถ้าต้องการให้งานดำเนินการสะดวกขึ้นต้องใช้ระบบ OAS ( Office Automation Systems ) หรือ ระบบสำนักงานอัตโนมัติ มาช่วยทำให้องค์กรอยู่รอด
วันนี้องค์กรจะอยู่ได้ต้องมีนวัตกรรม ระบบคุณภาพ ระบบพันธมิตรและ ระบบสื่อสาร ต้องมีช่องทางสื่อสารที่แข็งแรง
Electronic commerce พาณิชย์อิเล็กทรอนิคส์
Strategic systems ระบบเชิงกลยุทธ์
Customer focus and service(CRM) self-service ระบบลูกค้าสัมพันธ์ ทำให้สะดวกขึ้น เน้นการบริการลูกค้าและบริการตนเอง
Continuous improvement efferts ( just-in-time, total quality management ),KM, ERP ความพยายามพัฒนาต่อเนื่อง
Business process restructuring and management (BPM) การปรับโครงสร้างกระบวนการทางธุรกิจและการจัดการ
Intelligent data management การจัดการข้อมูลอัจฉริยะ
On-demand made-to-order mass customization ตามความต้องการสั่งทำ ตามจำนวนมาก เพื่อการปรับแต่ง
Better data management การจัดการข้อมูลที่ดีกว่า
Business allances
นก รปม.หัวหมาก รุ่น 3 ห้อง 1
สรุป ในการเขียนสอบ วิชา PA 609 ส่วนของตัวเอง เห็นว่าควรจะเรียบเรียงในการตอบดังนี้
1. หัวข้อแรก ควรจะบอกถึงความหมายของสารสนเทศ สักหน่อย
2. หัวข้อที่สอง ควรจะบอกถึงว่าหน่วยทำไมต้องมีสารสนเทศ (แรงผลักดัน ที่ทำให้เกิดสารสนเทศ)
3. หัวข้อที่สาม ควรจะบอกถึง เมื่อเอาสารสนเทศมาใช้ มันมีขั้นตอนหรือกระบวนการอย่างไร
4. หัวข้อที่สี่ ควรจะบอกถึง การเอาสารสนเทศมาใช้ มันมีเครื่องมือการบริหารอะไรบ้าง และเมื่อเอามาใข้แล้วมันมีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไร (ผลกระทบ)
5. สรุป
นก รปม.หัวหมาก รุ่น 3 ห้อง 1 โชคดีจ๊ะ
------------------------------
Tai

PA609,709: แนวข้อสอบ นวัตกรรมและนวัตกรรมในองค์การ

PA609,709: แนวข้อสอบ นวัตกรรมและนวัตกรรมในองค์การ
สรุปโดย ครูตาล
--------------------------------
คำถาม แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนวัตกรรมทางการบริหารที่เหมาะสมกับระบบราชการไทย
พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

แนวการตอบ
สำหรับการเลือกใช้นวัตกรรมการบริหารให้มีความเหมาะสมกับระบบราชการไทยสิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงคือ ลักษณะพื้นฐานทางสังคมและวัฒนธรรมไทย ซึ่งเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นสภาพสังคมไทยให้เห็นเป็นรูปธรรม นั่นคือ พฤติกรรมของคนไทย ลักษณะโดยภาพรวมของพฤติกรรมคนไทยส่วนใหญ่จะชอบวิถีชีวิตที่ไม่เร่งรีบ ไม่ชอบการแข่งขัน ซึ่งสอดคล้องกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา คือ ทางสายกลาง
เมื่อพิจารณาจากบุคลิกลักษณะพื้นฐานของคนไทยที่เน้นทางสายกลาง ทำให้สามารถเลือกนวัตกรรมทางการบริหารที่เหมาะสมกับระบบราชการไทย นั่นคือ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง(Sufficiency Economy) กับ ยุทธศาสตร์น่านน้ำสีคราม (Blue Ocean Strategy) ซึ่งทฤษฎีทั้งสองมีกรอบแนวคิดที่สอดคล้องกับสภาพสังคมไทย โดยขอเริ่มอธิบายจาก
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระราชทานให้แก่พสกนิกรชาวไทยโดยพระองค์ทรงคำนึงถึงสภาพสังคมไทยเป็นสำคัญ ดังนั้น ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจึงมีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำมาใช้เป็นนวัตกรรมในการบริหารระบบราชการไทย เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
กรอบแนวคิดของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ดังนี้
3 ห่วง คือ 1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
2. ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจอย่างรอบคอบ
3. ความมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง สร้างแนวทางป้องกันตนเองและเตรียมตัว
รับมือกับการเปลี่ยนแปลง
2 เงื่อนไข คือ 1. ความรู้ หมายถึง ความรอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง
2. คุณธรรม หมายถึง ความซื่อสัตย์ ความขยันอดทน ความสามัคคี
หากพิจารณาจากกรอบแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จะพบว่าเสาเข็มหลัก คือ ความรู้ และ คุณธรรม นับว่าเป็นสิ่งที่ต้องปลูกฝังให้มีในตัวบุคคล เพราะถ้าบุคคลไม่มีความรู้และคุณธรรมย่อมไม่สามารถปฏิบัติตนให้เป็นผู้รู้จักพอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกันได้อย่างแน่นอน



สำหรับกรนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการบริหารองค์กรภาครัฐของประเทศไทย มีแนวทางดังนี้
1. การตัดสินใจเชิงนโยบายควรมุ่งไปที่ผลประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ ดังนั้น รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับการนำเสนอนโยบายสาธารณะ โดยพิจารณาถึงผลกระทบต่อประชาชนอย่างรอบคอบ
2. เน้นพัฒนาคน ในที่นี้แบ่งออกเป็น 2 ระดับดังนี้
2.1 ระดับประชาชนทั่วไป รัฐบาลต้องส่งเสริมให้ประชาชนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง พร้อมทั้งพัฒนาคุณธรรม ตามแนวทางทางที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10
2.2 ระดับข้าราชการ องค์กรภาครัฐต้องพัฒนาศักยภาพของข้าราชการให้มีคุณภาพเพื่อการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพสนองความต้องการประชาชนได้อย่างเต็มที่ โดยมุ่งเน้นเสริมสร้างคุณธรรม
3. ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
4. ส่งเสริมและอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ตลอดจนเห็นความสำคัญของภูมิปัญญาไทย
5. ให้ความสำคัญกับการจัดการองค์ความรู้ โดยการนำหลัก KM และ LO มาประยุกต์ใช้ในองค์กร
จากที่กล่าวมาข้างต้นเป็นแนวทางตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่สามารถนำมาใช้ในการบริหารระบบราชการไทยได้อย่างสอดคล้องกับสภาพสังคมไทย เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนจะขอยกตัวอย่างการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในองค์กร ดังนี้
(กรณีที่นำมายกตัวอย่าง ควรนำเสนอรูปแบบการบริหารจัดการภายในหน่วยงานของท่าน โดยชี้ให้เห็นความสอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงค่ะ)
--------------------------------
Tai

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

PA609,709: นวัตกรรมและนวัตกรรมในองค์กร ตอน เศรษฐกิจพอเพียง

เศรษฐกิจพอเพียง : ปรัชญาอันทรงค่าจากพ่อของปวงชนชาวไทย
ที่มา : วารสารเศรษฐกิจและสังคม ปีที่ 42 ฉบับที่ 6 เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2548 หน้า 41-47.

ดูข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บ เศรษฐกิจพอเพียง : http://www.sufficiencyeconomy.org/
หรือ E-Learning เศรษฐกิจพอเพียง: http://longlivetheking.kpmax.com/
และข้อมูลจากเว็บนี้ วิทยาลัยเทคนิคมหาสารคาม: http://www.mtc.ac.th/index.php?option=com_content&view=article&id=69:3--2-&catid=35:2010-07-21-11-03-28&Itemid=113

“เศรษฐกิจพอเพียง” (Sufficiency Economy) เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการ ดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 25 ปี ตั้งแต่ก่อนวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจขึ้น พระองค์ท่านได้ทรงเน้นย้ำว่าเป็นแนวทางการแก้ไขเพื่อให้ประเทศรอดพ้นจาก ปัญหาต่างๆ สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์และความ เปลี่ยนแปลงต่างๆ

ทั้งนี้ สศช. จึงได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิจากสาขาต่างๆ มาร่วมกันระดมความคิดและยกร่างคำนิยามของเศรษฐกิจพอเพียงโดยประมวลและกลั่น กรองจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งพระราชทานในวโรกาสต่างๆ รวมทั้งพระราชดำรัสอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

โดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำไปเผยแพร่ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2542 เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของทุกฝ่ายและประชาชนโดยทั่วไป รวมถึงได้อัญเชิญมาเป็นปรัชญานำทางในการจัดทำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 อีกด้วย

โดยนิยามของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีสาระสำคัญ ดังนี้

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้แนวการดำรงอยู่และ ปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลางโดย เฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผล กระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน

ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ ของรัฐ นักทฤษฎีและนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริตและให้มีความรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบเพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี

“หากพิจารณาพระราชดำรัสที่พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2548 ที่ผ่านมายิ่งทำให้เห็นว่า พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมากเพียงใด ทรงเชื่อมั่นว่า การจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ นั้น ประเทศไทยต้องใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญานำทาง และน่ายินดีที่ว่า หลังจากนั้นหลายหน่วยงานได้น้อมนำพระราชดำรัสข้างต้นไปยึดถือปฏิบัติ”

เศรษฐกิจพอเพียงสามารถรับมือกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง ต่างๆ ได้จริงหรือ

อย่างไรก็ตาม แม้หน่วยงานและประชาชนที่เริ่มตื่นตัว และต้องการจะนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ แต่ส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจที่หลากหลายและไม่ชัดเจน ถึงความหมายและหลักแนวคิดที่แท้จริงของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า ปรัชญาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาใช้ได้จริง มากน้อยเพียงใดตามมา

ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักการของเศรษฐกิจพอ เพียงมาใช้อย่างเกิดสัมฤทธิผลกับทุกๆ ฝ่าย โดยหลักการของเศรษฐกิจพอเพียง คือการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท

ในการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ให้เกิดผลต่อการ พัฒนานั้น ต้องเข้าใจ “กรอบแนวคิด” ว่าเป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทยสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ ตลอดเวลา

และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัยและวิกฤต เพื่อความมั่นคงและความยั่งยืนของการพัฒนา ขณะเดียวกัน ก็ต้องเข้าใจคุณลักษณะว่าเศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการ ปฏิบัติตนได้ในทุกระดับ โดยเน้นการปฏิบัติบนทางสายกลางและการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน

3 ห่วง 2 เงื่อนไข : หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

ที่สำคัญที่สุด ทุกคนควรเข้าใจ “คำนิยาม” ว่าความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3 ห่วง และ 2 เงื่อนไข โดย 3 ห่วง คือ

ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไปโดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่นการผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ

ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลโดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ

การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล

ส่วน 2 เงื่อนไข คือการตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ระดับพอเพียงนั้น ต้องอาศัยทั้งความรู้และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน ประกอบไปด้วย

- เงื่อนไขความรู้ หมายถึง ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการ วางแผน และความระมัดระวังในขั้นตอนปฏิบัติ

- เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต

“เศรษฐกิจพอเพียงจริงๆ คือหลักการดำเนินชีวิตที่จริงแท้ที่สุด กรอบแนวคิดของหลักปรัชญามุ่งเน้นความมั่นคงและความยั่งยืนของการพัฒนา อันมีคุณลักษณะที่สำคัญ คือ สามารถประยุกต์ใช้ในทุกระดับ ตลอดจนให้ความสำคัญกับคำว่าความพอเพียง ที่ประกอบด้วย ความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล มีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ภายใต้เงื่อนไขของการตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมที่ต้องอาศัยเงื่อนไขความ รู้และเงื่อนไขคุณธรรม”

“หากทุกฝ่ายเข้าใจกรอบแนวคิด คุณลักษณะ คำนิยามของเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแจ่มชัดแล้ว ก็จะง่ายขึ้นในการนำไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ และจะนำไปสู่ผลที่คาดว่าจะได้รับ คือ การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้และเทคโนโลยี”


การสร้างขบวนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง

นับตั้งแต่มีพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวในปี 2517 เป็นต้นมา พบว่าพระองค์ท่านได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการพัฒนาที่อยู่บนพื้นฐานของการพึ่งตน เอง ความพอมี พอกิน พอใช้ การรู้จักความพอประมาณการคำนึงถึงความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว

ทรงเตือนสติประชาชนคนไทยไม่ให้ประมาทตระหนักถึงการพัฒนา ตามลำดับขั้นตอนที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ทั้งนี้ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง มีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างเครือข่ายเรียนรู้ ให้มีการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้เป็นกรอบความคิด เป็นแนวทางในการปฏิบัติ ตลอดจนเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของคนไทยในทุกภาคส่วน

“วัตถุประสงค์ของการขับเคลื่อนเพื่อสร้าง ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงให้ประชาชนทุกคน สามารถนำหลักปรัชญาฯ ไปประยุกต์ให้ได้อย่างเหมาะสมและปลูกฝังปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการดำรง ชีวิตให้อยู่บนพื้นฐานของเศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนนำไปสู่การปรับแนวทางการพัฒนาให้อยู่บนพื้นฐานของเศรษฐกิจพอเพียง”

ก้าวแรกจุดประกาย ก้าวสองตอกเสาเข็ม

หลายฝ่ายเชื่อว่าเศรษฐกิจพอเพียงควรเป็นปรัชญานำทางในการ พัฒนาประเทศ ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาองค์ความรู้ในเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่หลายคนไม่ทราบว่า จริงๆ แล้ว ได้มีการผลักดันเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาตั้งแต่ปี 2542 โดยมีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นแกนหลัก และมีการตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงเป็นตัวขับเคลื่อน

ได้มีการจัดทำแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง 4 ปีในช่วงปี 2547 – 2550 โดยปีแรก เน้นการจุดประกายความรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง ให้คนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง และเกิดความตื่นตัว ต่อมาในช่วงปีที่ 2 ถือว่าเป็นช่วงสำคัญคือ การตอกเสาเข็ม ที่จะเน้นการสร้าง Case study หรือทำให้ประชาชนเห็นว่าหลักเศรษฐกิจพอเพียงทำได้และประสบความสำเร็จได้ จริงๆ ที่สำคัญต้องสร้างความเข้าใจว่า เศรษฐกิจพอเพียง มิได้จำกัดเฉพาะเกษตรกรหรือชาวไร่ชาวนาเพียงเท่านั้น แต่เป็นเศรษฐกิจของทุกคน ทุกอาชีพ ทั้งที่อยู่ในเมืองและอยู่ในชนบท

“ผู้ที่เป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมและ บริษัทในระบบเศรษฐกิจพอเพียง ถ้าจะต้องขยายกิจการก็จะขยายเพราะความเจริญเติบโตจากเนื้อของงาน โดยอาศัยการขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือหากจะกู้ยืมก็กระทำตามความเหมาะสมไม่ใช่กู้มาลงทุนจนเกินตัวจนไม่เหลือ ที่มั่นให้ยืนอยู่ได้ เมื่อภาวะของเงินผันผวน ประชาชนจะต้องไม่ใช่จ่ายฟุ่มเฟือยเกินตัว เกษตรกรก็ทำไร่ทำนา ปลูกพืชแบบผสมผสานในที่แห้งแล้งตามแนว “ทฤษฎีใหม่” หากไม่มีความพอประมาณในใจตน นึกแต่จะซื้อรถปิคอัพคันใหม่ หรือเครื่องอำนวยความสะดวกอื่นๆ อยู่ร่ำไปย่อมไม่ถือว่าประพฤติตนอยู่ในระบบเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราช ดำริ”

เร่งสร้างเครือข่ายและนำไปใช้อย่างเป็นรูปธรรม

ในช่วงปีที่ 3 เป็นช่วงของการสร้างเครือข่าย โดยการขับเคลื่อนจะเป็นลักษณะการระดมพลังจากทุกภาคส่วนแบ่งเป็น 2 เครือข่ายสนับสนุนตามกลุ่มเป้าหมายเบื้องต้น ได้แก่เครือข่ายภาครัฐทั้งหมด เครือข่ายด้านประชาสังคมและชุมชน เครือข่ายธุรกิจเกชน เครือข่ายภาคการเมือง

นอกจากนี้แล้ว ยังมีเครือข่ายสนับสนุนด้านภารกิจต่างๆ ได้แก่ ด้านวิชาการจะมีเครือข่ายวิชาการที่มีนักคิด ผู้ทรงคุณวุฒิ และนักวิชาการในมหาวิทยาลัยเป็นกำลังสำคัญ ด้านการสร้างกระบวนการเรียนรู้ จะดึงเครือข่ายระดับโรงเรียนเข้ามาร่วม ส่วนด้านการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ จะสร้างเครือข่ายกับสื่อมวลชน ก่อนที่ในปีที่ 4 หรือปีสุดท้าย จะเน้นการขับเคลื่อนให้เกิดการนำไปใช้อย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ แกนกลางของกระบวนการขับเคลื่อนมี 3 ระดับได้แก่ คณะที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง และกลุ่มงานเศรษฐกิจพอเพียง สศช. ซึ่งจะเป็นหน่วยปฏิบัติงานในการขับเคลื่อน และจะทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายการดำเนินงานเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 80 พรรษา ในเดือนธันวาคม 2550


บทบาทของภาคีการพัฒนาในการสร้างสมดุลและภูมิคุ้มกัน

ทุกๆ ภาคีการพัฒนาต้องเข้าใจก่อนว่า เศรษฐกิจพอเพียงหมายถึงระบบเศรษฐกิจที่พึ่งตนเองได้ แต่ไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจที่พึ่งตนเอง 100% โดยไม่พึ่งเงิน ไม่พึ่งการค้า ไม่สมาคมกับใคร ซึ่งไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียง การจะนำเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเป็นปรัชญามาใช้ ทุกฝ่ายต้องมองให้ออกและเข้าใจอย่างถ่องแท้

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทาน ปรัชญานี้กับคนทุกระดับ ไม่ใช่ให้กับชาวนาอย่างเดียว ในภาคประชาสังคม ตั้งแต่ระดับบุคคล ระดับครอบครัว ไปจนถึงระดับชุมชน ต้องรู้จักความพอดี พอเพียง ความมีเหตุมีผล ระบบภูมิคุ้มกันทั้งปวงต้องโยงกับคุณธรรม และถือเป็นปรัชญาหลัก

ถ้าจะเอาปรัชญาไปปฏิบัติก็ต้องขบคิดให้เหมาะสมกับอาชีพของแต่ ละคน อย่างในภาครัฐหรือภาคราชการ ก็ใช้ชีวิตทำงานให้พอดี มีบ้านแต่พอดี ดำรงฐานะให้เหมาะสม ขยันทำ และทำให้มาก ท่านยังแปลลึกลงไปอีกว่า หมายถึง ถ้าขยัน ยิ่งทำยิ่งพึ่งตนเอง โดยไม่พึ่งคนอื่นมากจนเกินไป ขณะเดียวกัน ถ้าไม่ฟุ้งเฟ้อ ก็ลดปัญหาการคอร์รัปชั่นมาก”

ขณะที่ในภาคธุรกิจเอกชนนั้น ยังผลักดันในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงกันน้อย เนื่องจากมองว่าเป็นแนวคิดที่อยู่คนละด้านกับการทำธุรกิจที่มุ่งการสร้าง กำไร ซึ่งจริงๆ แล้วสามารถปรับใช้เข้าหากันได้ และจะก่อให้เกิดความยั่งยืนมากกว่า

“สังคมไทยพึ่งตลาด ปัจจัยการผลิต เทคโนโลยี สมองของคนต่างชาติมากเกินไป พึ่งเงินทุนจากต่างประเทศ สังคมไทยอยู่ได้เพราะยืมจมูกคนอื่นหายใจ ยืมเขาทั่วโลก ทั่วโลกเรียกสิ่งที่ทำกันวันนี้ว่า trade economy คือขายทุกอย่าง ซึ่งแตกตางจากเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ได้หมายความว่า เศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ค้าขาย แต่ให้ทำอย่างพออยู่พอกินก่อนที่จะขาย คือการสร้างพื้นฐานของตัวเองให้แน่นซึ่งจะช่วยให้ทำการค้าหรือแข่งกับใครใน โลกก็ได้ ค้าขายไม่ดีก็ไม่ต้องกลัว ธุรกิจไม่ดีก็ไม่ต้องปลดคนงาน การพึ่งพาตนเองแบบนี้มันเอื้อกันหมด”

สำหรับในภาคอุตสาหกรรม ก็สามรถนำ “เศรษฐกิจพอเพียง” มาประยุกต์ใช้ได้ คือ เน้นการผลิตด้านการเกษตรอย่างต่อเนื่อง และไม่ควรทำอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เกินไป เพราะหากทำอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ก็จะต้องพึ่งพิงสินค้าวัตถุดิบ และเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เพื่อนำมาผลิตสินค้า ต้องคำนึงถึงสิ่งที่มีอยู่ในประเทศก่อน จึงจะทำให้ประเทศไม่ต้องพึ่งพิงต่างชาติอย่างเช่นปัจจุบัน

ดังนั้น ต้องทำให้ประเทศมีความเข้มแข็ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ ได้เป็นผู้จุดประกายระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง ซึ่งจะเป็นการช่วยลดปัญหาการนำเข้าวัตถุดิบ และชิ้นส่วนที่นำมาใช้ในการผลิตที่เป็นลักษณะพึ่งพา ซึ่งมีมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่ทุกคนมองข้ามประเด็นนี้ไป ตลอดจนได้รับผลจากภายนอกประเทศทำให้ประชาชนหลงลืม และมึนเมาอยู่กับการเป็นนักบริโภคนิยม รับเอาของต่างชาติเข้ามาอย่างไม่รู้ตัว และรวดเร็วจนทำให้เศรษฐกิจของไทยตกต่ำ

ที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้ทุกภาคีการพัฒนาสามารถร่วมกันผลักดันให้ประเทศก้าวเข้าสู่การ พัฒนาอย่างยั่งยืน คือการเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รับฟังแต่ละฝ่ายโดยปราศจากอคติ หากมีตัวอย่างความสำเร็จใดๆ ที่นำมาเป็นกรณีตัวอย่างได้ ก็ควรนำมาใช้ในการระดมสมอง หรือดึงประเด็นสำคัญๆ ขึ้นมาเป็นแนวทางในการพัฒนา

นอกจากนี้ ความสำเร็จของทุกภาคีการพัฒนาในการขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจพอเพียง ควรจะต้องเกิดจากการ “ระเบิดออกมาจากภายใน” ของแต่ละภาคส่วน เพราะเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง ความสำเร็จจะอยู่ที่ใจตนเป็นสำคัญ


เศรษฐกิจพอเพียงกับการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ

การนำเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นปรัชญาหลักในการจัดทำแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว อย่างไรก็ตาม ต้องเข้าใจเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงให้ลึกซึ้ง ไม่ฉาบฉวย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องสร้างความเข้าใจให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำแผนฯ ว่าเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง

“เศรษฐกิจพอเพียงไม่เคยชี้ว่า การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งไม่ดี ใครพูดแบบนั้น แสดงว่าเข้าใจหลักการไปคนละทาง เศรษฐกิจพอเพียง คือการสร้างความเชื่อมต่อระหว่างแนวทางการพัฒนาต่างๆ อย่างสอดคล้องและสมดุลกัน เศรษฐกิจพอเพียงจะเป็นเหมือนห่วงคล้อง ทั้งเรื่องของการแก้ไขปัญหาความยากจน หรือเรื่องอื่นๆ เข้าด้วยกัน การจัดทำแผนต่างๆ ที่มีเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นพื้นฐาน ต้องระลึกอยู่เสมอว่าในแต่ละภูมิภาค แต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างกัน ไม่มีแผนที่เหมาะสมกับทุกที่ ภายใต้ความหวังดีของส่วนร่วม”

สรุป

เศรษฐกิจพอเพียงเป็นพระราชดำรัสที่พระราชทานให้ประชาชนดำเนิน ตามวิถีแห่งการดำรงชีพที่สมบูรณ์ ศานติสุข โดยมีธรรมะเป็นเครื่องกำกับ และใจตนเป็นที่สำคัญ ซึ่งที่พระองค์ทรงรับสั่งมานั้น แท้ที่จริง คือ วิถีชีวิตไทยนั่นเอง วิถีชีวิตไทยที่ยึดเส้นทางสายกลางของความพอดี เป็นการเสริมพลังให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาไปได้อย่างมั่นคงภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์

โดยให้ความสำคัญกับการสร้างฐานทางเศรษฐกิจและสังคมให้เข้ม แข็งรักษาความสมดุลของทุนและทรัพยากรในมิติต่างๆ ตลอดจนสามารถปรับตัวพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้อย่างเท่าทัน และนำไปสู่ความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนชาวไทยในที่สุด

ที่มา : วารสารเศรษฐกิจและสังคม ปีที่ 42 ฉบับที่ 6 เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2548 หน้า 41-47.

ดูข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บ เศรษฐกิจพอเพียง : http://www.sufficiencyeconomy.org/
หรือ E-Learning เศรษฐกิจพอเพียง: http://longlivetheking.kpmax.com/
และข้อมูลจากเว็บนี้ วิทยาลัยเทคนิคมหาสารคาม: http://www.mtc.ac.th/index.php?option=com_content&view=article&id=69:3--2-&catid=35:2010-07-21-11-03-28&Itemid=113
-------------------------------------------------
Tai

PA609,709: นวัตกรรมและนวัตกรรมในองค์การ

๒๘-๒๙ มกราคา ๒๕๕๔
PA609,709: นวัตกรรมและนวัตกรรมในองค์การ
สรุปข้อมูล (บางส่วน)
-------------------------------------------------
ผู้สอน: ดร.วิโรจน์ ก่อสกุล
มาเริ่มด้วยนิยามกันก่อนละกัน...
๑. องค์การ (Organization) หมายถึง ศูนย์รวมกลุ่มบุคคลหรือกิจการที่ประกอบกันขึ้นเป็นหน่วยงานเดียวกัน เพื่อดำเนินกิจการตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ในกฎหมาย หรือในตราสารที่จัดตั้งขึ้น ซึ่งอาจเป็นหน่วยงานของรัฐ เช่น องค์การของรัฐบาลบาล หน่วยงานเอกชน เช่น บริษัทจำกัด สมาคมหรือหน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น องค์การสหประชาชน (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน)
๒. องค์กร หมายถึง บุคคล คณะบุคคล หรือสถานบันซึ่งเป็นส่วนประกอบของหน่วยงานใหญ่ที่ทำหน้าที่สัมพันธ์กันหรือขึ้นต่อกัน เช่น คณะรัฐมนตรีเป็นองค์กรบริหารของรัฐ หรือสภาผู้แทนราษฎรเป็นองค์กรของรัฐสภา และในบางกรณี องค์กร หมายความรวมถึงองค์การด้วย (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน)
๓. องค์ประกอบ
Richard Hall (๑๙๗๗) ได้แยกองค์ประกอบขององค์การ ดังนี้
๑) ความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างคน
๒) แยกสมาชิกออกจากคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิก
๓) มีระเบียบ กฎเกณฑ์
๔) จัดระเบียบความสัมพันธ์และโครงสร้างองค์กร
๕) ความสัมพันธ์เป็นแบบสมาคมมากกว่าแบบชุมชน
๖) มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
๔. นวัตกรรม (Innovation) หมายถึง การกระทำสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีใหม่ๆ และยังอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิด การผลิต กระบวนการ หรือองค์การ ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะเกิดขึ้นจากการปฏิวัติ การเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน หรือการพัฒนาต่อยอด (Mckeown, 2008)

(วันนี้เข้าใจพื้นฐานแค่นี้ก่อนนะ ไว้จะเพิ่มเติมต่อไป)
-------------------------------------------------
Tai

กิจกรรมท่องเที่ยว ชาว รป.ม..๓/๑ ครั้งที่ ๑

ถึงเพื่อน รป.ม. ๓/๑ ทุกท่าน
คณะกรรมการรุ่น ฝากแจ้งข่าวกิจกรรมท่องเที่ยวชาว รป.ม. ๓/๑ ครั้งที่ ๑ คร่าวๆ ดังนี้
วัน-เวลา: เสาร์ที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๔
สถานที่: หัวหิน
ค่าใช้จ่าย: ประมาณคนละ ๖๐๐ - ๑,๐๐๐ บาท
อื่นๆ : จะแจ้งให้ทราบเป็นระยะๆ ต่อไป

อีกกิจกรรมหนึ่ง คือ กินข้าวร่วมกันกับห้อง ๓/๒ ในวันอาทิตย์ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ หลังสอบวิชา PA๖๐๙ แล้วเสร็จ โดยอาจมีกิจกรรมกีฬาสามัคคีร่วมกัน
----------------------------------------------------
วันนี้ (อาทิตย์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔) ตอนเช้าประมาณ ๐๙.๐๐ น. มีฝนตกลงมาเป็นระยะๆ ทำให้แปลกใจว่าอากาศช่วงนี้มันประหลาด เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อน และอยู่ๆ ก็ฝนตก ก็หวังว่าปีหน้าหรือปีต่อๆ ไป จะมีหิมะตกในบ้านเราอย่างที่มีคนทายไว้มั่งก็คงจะดี แต่พอนึกๆ ไปแล้ว อาจเป็นการเริ่มต้นวันแห่งความรักที่ดีสำหรับหลายๆ คนก็ได้ เพราะพรุ่งนี้ คือวันวาเลนไทน์ที่หลายๆ คนรอคอยจะได้ดอกกุหลาบหรือชอคโกแลตจากบางคน... แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือ อย่าลืมมอบความรักให้พ่อ แม่ พี่น้อง และ ลูกๆ หรือคนใกล้ตัวนะครับ

ขอให้เพื่อนๆ รป.ม. ๓ หัวหมาก โชคดีและสมหวังกับความรักทุกๆ คนนะครับ

เรื่องสรุปข้อมูล PA๖๐๙ ก็อย่าเพิ่งตกใจหรือน้อยใจไปนะว่าทำไมยังไม่มีการสรุปข้อมูลลงในบลอกนี้เลย คงอีกไม่นานจะมีข้อมูลทยอยมาลงให้จากน้องๆ ตัวแทนวิชาการผู้น่ารัก เก่ง สวย และรูปหล่อของพวกเราก่อนวันสอบประมาณ ๓ วัน อดใจรอสักนิดนะครับ

ที่สำคัญ อย่าลืมว่า เรายังมีเมล์กลาง (mpa_ru3@yahoo.com) อาวุธลับของพวกเราอยู่นะครับ มีข้อมูลสำคัญๆ จากเพื่อนๆ ผู้ทุ่มเทอีกหลายคนที่แบ่งเวลาสรุปและหาข้อมูลให้เรา หากใครที่ยังไม่รู้รหัส ให้เมล์มาที่ mpa.ru3@gmail.com แจ้งชื่อและเลขประจำตัวมาเพื่อขอรับรหัสเข้า yahoo นะครับ
---------------------------------------------------
Tai

วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

PA602,702 แนวการเขียนข้อเสนอการวิจัย ส่ง ดร.วิโรจน์ ก่อสกุล

เรียน เพื่อน รป.ม. 3 ทุกๆ ท่าน (มีเพิ่มเติมอีก 2 บท)
-------------------------------
ก่อนอื่นต้องขออภัยที่ลงบทความนี้ช้าไป...แต่ก็อ่านต่อเถอะนะ....
-------------------------------
เนื่องจากมีคำถามเรื่องการเขียนข้อเสนอการวิจัย ส่งท่านอาจารย์ ดร.วิโรจน์ ก่อสกุล ว่า ต้องเขียนอะไร อย่างไร ต้องเขียนเหมือนงานวิจัยแบบเต็มๆ เลยหรือไม่? และถ้าเขียนแบบวิจัยเต็มๆ แล้วมันยังไงกันแน? งงไปหมดแล้ว......
-------------------------------
มาดูคำสั่ง(การบ้าน) กันก่อนละกัน ท่านอาจารย์มีคำสั่งว่า...

"ให้เขียนข้อเสนอการวิจัยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยมีสาระสำคัญครบถ้วนตามแบบเสนอห้อข้อและเค้าโครงการวิจัย รวมทั้งมีการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลให้ถูกต้องตามระเบียบวิธีวิจัย"

อ่านแล้วก็น่าจะตีความได้ว่า ไม่ใช่ให้ทำงานวิจัยแบบเต็มๆ แต่เป็นการทำข้อเสนอการวิจัยแบบมีสาระสำคัญที่ครบถ้วนตามแบบเสนอหัวข้อและเค้าโครงการวิจัย จึงขอสรุปสาระสำคัญในสิ่งที่ต้องเขียนส่งอาจารย์ ดังนี้
1. บทที่ 1 บทนำ ประกอบด้วย
1.1 ชื่อโครงการวิจัย
1.2 ชื่อผู้วิจัย
1.3 ประเภทการวิจัย (การวิจัยเชิงปริมาณ หรือเชิงคุณภาพ)
1.4 คำสำคัญของการวิจัย (Abstract)
1.5 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
1.6 วัตถุประสงค์
1.7 ขอบเขต
1.8 สมมุติฐาน (ถ้ามี)

2. บทที่ 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ก็อ้างถึงเอกสารต่างๆ ที่คิดว่าจะต้องใช้อ้างถึง เช่น
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ....
- พระราชบัญญัติ..... พ.ศ. ....
- การบริหารจัดการ.....
- การพัฒนาระบบ ....
- บทบาทของผู้บริหาร.....
แล้วก็อ้างถึงมาตรา หรือระเบียบ ประกาศ ข้อบังคับ หรือข้อความสำคัญที่จะเกี่ยวข้องกับหัวข้องานวิจัยมาพอสังเขปตามเอกสารที่อ้างถึงทุกฉบับ

3. บทที่ 3 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง <----เพิ่มอีก 1 หัวข้อ

4. บทที่ 4 วิธีดำเนินการวิจัย ประกอบด้วย
4.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่จะใช้ในการวจัย
4.2 ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย
4.3 แผนการดำเนินงาน
4.4 วิธีการเก็บและรวบรวมข้อมูล บอกแค่ว่าใช้วิธีการอะไร เช่น
(1) แบบสอบถาม (Questionnaire)
(1.1) แบบสอบถามปลายปิด เพื่อประเมินด้านคุณลักษณะของ..(ใคร)...
(1.2) แบบสอบถามปลายเปิดสำหรับ ....(ใคร).... เพื่อประเมินด้าน...(อะไร)...ของ...(ใคร)...
(2) แบบสังเกต (Observation)
4.5 สถิติและวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล ก็บอกสั้นว่าใช้วิธีการอะไร เช่น
- หาค่าเฉลี่ย ( X bar) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( S.D) และ Chi-Square test

5. การวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผลการวิจัย <--------เพิ่มอีก 1 หัวข้อ

และ บรรณานุกรม (ตามแบบมาตรฐานการวิจัย) ตามเอกสารที่อ้างอิงถึงทั้งหมด
---------------------------
เท่าที่ตีความมาได้ ก็น่าจะมีเท่านี้แหล่ะครับพี่น้อง รวมๆ แล้วไม่น่าจะเกิน 10 หน้า
---------------------------
Tai

วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

แนวข้อสอบ PA602,702: ระเบียบวิธีวิจัยทางรัฐประศาสนศาสตร์

แนวข้อสอบ PA๖๐๒,๗๐๒ : ระเบียบวิธีวิจัยทางรัฐประศาสนศาสตร์ มีดังนี้
(รศ. เฉลิมพล ศรีหงษ์ - ข้อมูล ณ มกราคม ๒๕๕๔)
------------------------------------------------------------------------------
*** ข้อสอบมีประมาณ ๖ ข้อ แบ่งเป็นเชิงคุณภาพ ๓ ข้อ และเชิงปริมาณ ๓ ข้อ ***
รุ่นพี่ รป.ม. 2 หัวหมาก บอกว่า อาจารย์สอนอะไรในชั่วโมง ก็ออกอันนั้นแหล่ะ โดยเฉพาะการวิเคราะห์ตาราง สรุปแล้ว มีดังนี้
๑. การวิจัยเชิงคุณภาพ ให้อธิบาย ดังต่อไปนี้
๑.๑ หลักการพื้นฐานของการวิจัยเชิงคุณภาพ (ตามที่นักวิชาการท่านต่างๆ ได้อธิบายไว้)
๑.๒ การตรวจสอบข้อมูลแบบ ๓ เส้า
๑.๓ ในการวิจัยสนาม (Field Research) นั้น ตัวนักวิจัยใช้วิธีการอย่างไรดำเนินงาน

๒. การวิจัยเชิงคุณภาพ
๒.๑ อธิบายตาราง Frequency
๒.๒ อธิบายตาราง Descriptive Statistics
๒.๓ ตาราง Crosstab
- สร้างแบบสอบถาม
- มีตัวแปรอะไรบ้าง เป็นระดับใด
- ตั้งสมมุติฐานการวิจัย
- วิเคราะห์ผลโดยใช้ Chi-Square test เพื่อทดสอบสมมุติฐาน
------------------------------------------------------------------------------
แนวการตอบ ตามหลักการ ควรจะ...
(๑) อ้างถึงทฤษฎี ว่ามีวิธีการวิจัยกี่แบบ แต่ละแบบมีข้อดีและข้อจำกัดอย่างไร
(๒) แล้วค่อยสรุปว่า จะเลือกใช้วิธีการใด เพราะเหตุใด บอกข้อดีและข้อจำกัด
(๓) อธิบายกรอบแนวคิด
(๔) การตั้งสมมุติฐาน
(๕) การสุ่มตัวอย่าง
(๖) การเขียนแบบสอบถาม
(๗) การเก็บรวบรวมข้อมูล
(๘) การวิเคราะห์และการใช้สถิติ
--------------------------------------------------------------------------
๑. ข้อสอบการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research)
ให้อธิบายสาระสำคัญ กระบวนการหรือวิธีการ และเงื่อนไขของการวิจัยเชิงคุณภาพแบบต่างๆ โดยเฉพาะ แบบสำรวจ (Survey research) ว่า วิธีไหนน่าจะเหมาะสมการเชิงคุณภาพมากที่สุด ให้อธิบายหลักการ ดูจากหน้า ๑๖-๑๘ เอกสารภาษาไทย รศ.เฉลิมพลฯ และเอกสาร ดร.สุภางค์ฯ หน้า 129 อาทิ เงื่อนไขในการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่
- ข้อมูลไม่เป็นตัวเลขเยอะๆ
- กฎ กติกา ไม่ตายตัว
- มุ่งข้อมูลที่ละเอียด มีมากๆ
- ใช้วิธีตีความเอง
- ใช้การตรวจสอบแบบสามเส้า (*** หาอ่านให้เข้าใจว่าทำยังไง ***)

ข้อแนะนำ ให้อ่านหลักการของการวิจัยแบบสนาม (Field Research) ให้เข้าใจ และลองเขียนอธิบายให้ได้ใจความ เพราะเห็นว่าอาจารย์ได้ถามให้ห้องแล้วว่าควรใช้วิจัยแบบนี้ แต่ที่คาดการณ์ไว้ คงต้องทำความเข้าใจกับทุกแบบ ว่า แต่ละแบบมีข้อดีและข้อจำกัดอย่างไรให้เข้าใจก่อน จะดีที่สุด

๒. ข้อสอบการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research)
ให้วิเคราะห์และแปลผลตารางออกมาเป็นคำพูด ดูจากหน้า ๘๕-๘๖ เอกสารภาษาไทย รศ.เฉลิมพลฯ ดังนี้
๒.๑ Frequency
๒.๒ Descriptive Statistics
๒.๓ Crosstabs (Crosstabulation, Chi-Square Tests และ Symmetric Measures)
-------------------------------------------------------------------------------
ต่อไปนี้ เป็นตัวอย่างแนวข้อสอบเชิงปริมาณที่รุ่นพี่จาก รป.ม.5 ระยอง (คุณจ๊ะโอ๋) แนะนำไว้ ว่า...
-------------------------------------------------------------------------------
...ข้อมูลนี้เข้าไปดาว์โหลดได้จากเว็บไซต์ รป.ม. 5 ระยองโดยตรง และได้ส่งไปที่ yahoo mail แล้ว...
-------------------------------------------------------------------------------
มาดูกันที่คุณจ๊ะโอ๋ได้บอกไว้ว่า...

กรณีที่ ๑. เราต้องรู้ก่อนว่าระดับตัวแปร มีกี่ระดับ (ดูเอกสารหน้า ๒๐-๒๔) ดังนี้
ระดับตัวแปร แบ่งออกเป็น ๔ ระดับ ได้แก่ ระดับแบ่งกลุ่ม (Nominal scale) ระดับการจัดอันดับ (Ordinal scale) ระดับช่วง (Interval scale) และ ระดับสัดส่วน (Ratio scale) มีรายละเอียดที่ควรจำไว้ ดังนี้
๑) ระดับแบ่งกลุ่ม (Nominal scale) ไม่สามารถวัดค่าเป็นตัวเลขได้ และไม่สามารถบอกได้ว่าค่าตัวแปรใดมีค่ามากหรือน้อยกว่ากัน เช่น เพศ (ชาย หญิง) เชื้อชาติ (ไทย อังกฤษ ฯลฯ) และภาษา (ไทย อังกฤษ ฯลฯ) เป็นต้น

๒) ระดับการจัดอันดับ (Ordinal scale) ไม่สามารถวัดค่าเป็นตัวเลขได้ แต่บอกได้ว่ามีตัวแปรใดมีค่ามากหรือน้อยกว่ากัน เช่น ชั้นยศ ชั้นปีการศึกษา วุฒิการศึกาา และระดับความพึงพอใจ เป็นต้น

๓) ระดับช่วง (Interval scale) บอกได้ว่าค่าตัวแปรใดมีค่ามากหรือน้อยกว่ากัน แต่ไม่ใช่ค่าศูนย์สมบูรณ์ ซึ่งอาจมีค่าต่ำกว่าศูนย์ก็ได้ เช่น อุณหภูมิ เป็นต้น

๔) ระดับสัดส่วน (Ratio scale) บอกได้ว่าค่าตัวแปรใดมีค่ามากหรือน้อยกว่ากัน ซึ่งค่าศูนย์จะต้องเป็นค่าต่ำสุด เช่น น้ำหนัก ความสูง รายได้ อายุ และจำนวนบุตร เป็นต้น

กรณีที่ ๒ ต้องทราบว่าวิธีการทางสถิติมีกี่ประเภท และแต่ละประเภทมีการใช้เทคนิควิธีการทางสถิติอย่างไร (ดูเอกสาร หน้า ๒๗-๓๘) ดังนี้

วิธีการทางสถิติ จำแนกออกเป็น ๒ วิธี ได้แก่ การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) และการวิเคราะห์สถิติเชิงอนุมาน (Inferential statistics)

๑) การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) มีลักษณะสำคัญคือ เป็นเพียงการสรุปข้อมูลเท่าที่มีอยู่จริงว่า คืออะไร เท่านั้น โดยไม่มีการสรุปเหตุผลหรือสรุปเป็นหลักการทั่วไปนอกเหนือไปจากข้อมูลที่มีอยู่จริงนั้น มีเทคนิคทางสถิติ ๓ แบบ ได้แก่ การกระจายความถี่ (Frequency distribution) การวัดแนวโน้มสู่ศูนย์กลาง (Measures of central tendency) และ การวัดความแปรผัน (Measures of variability) มีรายละเอียด ดังนี้
(๑) การกระจายความถี่ (Frequency distribution) ใช้วิเคราะห์ตัวแปรระดับแบ่งกลุ่ม (Nominal scale) เช่น ท่านเพศ [ ] ชาย หรือ [ ] หญิง และวิเคราะห์ตัวแปรระดับจัดอันดับ (Ordinal scale) เช่น ท่านมีวุฒิการศึกษา [ ] ต่ำกว่าปริญญาตรี [ ] ปริญญาตรี หรือ [ ] สูงกว่าปริญญาตรี เป็นต้น
(๒) การวัดแนวโน้มสู่ศูนย์กลาง (Measures of central tendency) ใช้วิเคราะห์ตัวแปรระดับสัดส่วน (Ratio scale) ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (Mean, X bar), ค่ามัธยฐาน (Median, ค่ากลาง) และค่าฐานนิยม (Mode คือค่าที่มีจำนวนค่าปรากฎให้เห็นมากที่สุด) เช่น ท่านมีอายุ....ปี หรือ ท่านมีรายได้........บาท เป็นต้น (ระบุตัวเลขที่ชัดเจน)
(๓) การวัดความแปรผัน (Measures of variability) ใช้วิเคราะห์ตัวแปรระดับสัดส่วนเช่นกัน (Ratio scale) ได้แก่ ค่าพิสัย (Range หรือช่วงชั้นข้อมูล), ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation, sd, s) และค่าความแปรปรวน (Variance) เช่น ท่านมีอายุ.......ปี หรือ ท่านมีรายได้..........บาท เป็นต้น

ตัวอย่างเช่น... (ดูเอกสารหน้า ๒๘, ๓๙-๔๐, ๕๓, ๕๗ การวิเคราะห์ตาราง Frequencies และ Descriptives)
คำในตารางที่ควรทราบ ได้แก่
N คือ จำนวนกลุ่มตัวอย่าง
Valid คือ จำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม
Missing คือ จำนวนผู้ไม่ตอบแบบสอบถาม
Frequencies คือ ค่าความถี่
Percent คือ ค่าร้อยละที่คิดจากจำนวนผู้ที่ตอบแบบสอบถามและผู้ไม่ตอบ เทียบกับจำนวนทั้งหมด
Valid Percent คือ ค่าร้อยละที่คิดจากผู้ที่ตอบแบบสอบถามเท่านั้น
Cummulative Percent คือ ร้อยละสะสม

ตัวอย่างการแปลผลจากตาราง Frequency ที่กำหนดให้ (นอกเหนือจากที่ต้องออกแบบสอบถามแล้ว) เช่น (ดูตารางหน้า ๕๓ ประกอบ)
*** จากตารางเราสามารถบอกได้ว่า กลุ่มตัวอย่างจำนวน ๓๔๐ คน มีผู้ตอบแบบสอบถามที่มีวุฒิการศึกษาสูงสุดที่ได้รับต่ำกว่าปริญญาตรี จำนวน ๑๑๙ คน ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด มีกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามที่มีระดับการศึกษาสูงสุดที่ได้รับระดับปริญญาตรี จำนวน ๑๖๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๔๗.๑ และมีกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามที่มีระดับการศึกษาสูงสุดที่ได้รับสูงกว่าปริญญาตรี จำนวน ๖๑ คน คิดเป็นร้อยะล ๑๗.๙ ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด

*** จากตาราง มีกลุ่มตัวอย่าง จำนวน ๓๔๐ คน มีผู้ตอบคำถามว่าไปลงคะแนนเลือกตั้ง สส. คร้้งล่าสุดหรือไม่ พบว่า มีกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถาม จำนวน ๓๓๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๙๗.๙ มีกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ตอบแบบสอบถาม จำนวน ๗ คน คิดเป็นร้อยละ ๒.๑ และในจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ตอบคำถามว่าไปเลือกตั้ง มีจำนวน ๑๗๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๕๐.๙ และในจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ตอบคำถามว่าไม่ไปเลือกตั้ง มีจำนวน ๑๖๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๔๗.๑

ตัวอย่างการแปลผลจากตาราง Descriptive ที่กำหนดให้ (นอกเหนือจากที่ต้องออกแบบสอบถามแล้ว) เช่น
จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดจำนวน ๓๔๐ คน พบว่า มีกลุ่มตัวอย่างผู้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับรายได้ จำนวน ๓๓๗ คน มีผู้มีรายได้ต่ำสุดอยู่ที่ ๔,๕๐๐ บาท มีผู้มีรายได้สูงสุดอยู่ที่ ๕๐,๐๐๐ บาท มีความแตกต่างระหว่างผู้มีรายได้สูงสุด กับ ผู้มีรายได้ต่ำสุดอยู่ที่ ๔๕,๕๐๐ บาท โดยมีค่าเฉลี่ยของรายได้ของกลุ่มตัวอย่างนี้ เท่ากับ ๑๔,๖๓๖.๕๐ บาท มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของรายได้ของกลุ่มตัวอย่างนี้ เท่ากับ ๙,๒๗๔.๒๙๖ บาท หมายความว่า ร้อยละ ๖๘ ของกลุ่มตัวอย่าง จะมีรายได้อยู่ระหว่าง ๕,๓๖๓ - ๒๓,๙๑๑ บาท

หมายเหตุ ค่า ๕,๓๖๓ - ๒๓,๙๑๑ มากจากการนำค่าเฉลี่ย หรือ Mean หรือ X bar - 1SD (ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน) ถึง X-bar + 1SD
*** จะต้องเริ่มจาก หาค่า Mean ก่อน แล้วจึงหาค่าที่ต่างไปจากค่า Mean ทั้งด้านที่มากกว่าและน้อยกว่า แต่ต้องอย่าลืมดูค่าต่างๆ ด้วย ไม่ใช่ดูเฉพาะค่า Max. กับ Min. อย่างเดียว
-------------------------------------------------------
(มีในข้อสอบ ๑) จากตัวอย่างในหน้า ๘๕ เป็นการหาค่าความถี่ว่า ควรมี หรือไม่ควรมี หรือ ไม่มีความคิดเห็น มีจำนวนเท่าไหร่
*** แบบ Frequency จะต้องมองเห็นภาพคำถามในแบบสอบถามว่า (๑) จะถามอะไร เป็นแบบปลายปิด (๒) มีคำตอบให้เลือกตอบกี่ข้อ และ(๓) มีอะไรบ้าง (๔) จากกลุ่มตัวอย่างกี่คน โดยสังเกตุจากหัวตาราง
*** ให้แต่งประโยคคำถาม/คำตอบ
*** ให้นำตัวเลขมาเขียนในรายงานเพื่ออธิบาย

(มีในข้อสอบ ๒)*** แบบ Descriptive จะต้องใช้คำถามแบบกึ่งปลายปิดกึ่งปลายเปิด เพื่อให้ได้คำตอบที่เป็นตัวเลขแท้ๆ เช่น ท่านอายุ.......ปี
เช่นตารางอายุ ซึ่งมีข้อมูล ดังนี้
N = ๕๘๘ Min. = ๒๓ Max.= ๖๗ และ Mean หรือ X bar = ๔๐.๘๔ แปลผลได้ว่า
จากจำนวนกลุ่มตัวอย่าง จำนวน ๕๘๘ พบว่า คนที่อายุต่ำสุด เท่ากับ ๒๓ ปี คนที่อายุสูงสุด เท่ากับ ๖๗ ปี และค่าเฉลี่ยอายุของกลุ่มตัวอย่างนี้ เท่ากับ ๔๐.๘๔ ปี
(ค่าเฉลี่ย เป็นชื่อของสถิติ อายุสื่อถึงค่าตัวแปร และจากตัวอย่างนี้บ่งบอกถึงทั้งกลุ่มไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง)

-------------------------------------------------------
๒) การวิเคราะห์สถิติเชิงอนุมาน (Inferential statistics)
(เดี๋ยวจะลงต่อให้จบ...)
-------------------------------------------------------
ขอให้โชคดีทุกๆ คน
Tai