วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

PA602,702: ระเบียบวิธีวิจัยทางรัฐประศาสนศาสตร์

วิชา PA๖๐๒,๗๐๒: ระเบียบวิธีวิจัยทางรัฐประศาสนศาสตร์
วันที่เรียน: ๑๗-๑๘, ๒๔-๒๕ ธ.ค. ๒๕๕๓, ๗-๘,๑๔-๑๕ ม.ค. ๒๕๕๔
สอบวันที่ ๒๓ ม.ค. ๒๕๕๔ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น.)
สถานที่เรียน: - อาคารสวรรคโลก ชั้น ๔
คณาจารย์ที่สอน: รศ. เฉลิมพล ศรีหงษ์
--------------------------------------------------------------
สรุปข้อมูลจากการบรรยายเมื่อ ๑๗-๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๓
--------------------------------------------------------------
*** งานกลุ่ม ให้ทำรายงานกลุ่ม ส่งเล่มและนำเสนอในสัปดาห์ที่ ๔ ก่อนสอบ โดยให้ถ่ายเอกสารหน้าปกงานวิจัยจำนวน ๑ เรื่อง รวมวัตถุประสงค์ และระเบียบการวิจัย พร้อมทั้งวิจารย์ทั้ง ๓ ส่วน ดูความสอดคล้องและความถูกต้องตามหลักการ
*** เนื้อหาที่จะสอบ เกี่ยวกับการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ เฉพาะเนื้อหาที่ยังไม่ได้ QUIZ ในห้องเรียน
*** การวิจัย คือ อะไร
- ดร.จุมพร ได้ให้นิยามไว้ว่า "การวิจัย คือ วิธีการศึกษา ค้นคว้าหาข้อเท็จจริงด้วยระบบอันถูกต้อง เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ในสิ่งที่วิจัย" จากนิยามนี้ มีข้อสังเกตุคือ ระบบที่ถูกต้องคืออะไร
- อ.เทียนฉาย ได้ให้นิยามไว้ว่า "การวิจัย คือ การศึกษาค้นคว้าเพื่อพิสูจน์หรือหาคำตอบหรือข้อเท็จจริงอะไรบางอย่างที่อาจจะไม่มีการค้นพบในเรื่องนั้นๆ มาก่อน หรืออาจจะมีการค้นพบมาแล้ว แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไปก็ต้องการค้นคว้าใหม่อีกครั้งหนึ่งก็ได้"
** ข้อสังเกตุ: การวิจัย อาจไม่เป็นเรื่องใหม่เสมอไป แต่ดูว่าเรื่องที่ต้องการวิจัยนั้นยังมีความถูกต้อง สอดคล้องกับสถานการณ์หรือไม่
---------------
W. Lawrence Neuman ได้อธิบายไว้ในหนังสือ "Social Research Method" ว่า " Research is away of going about finding answer to questions"
---------------
Charl Babie: จากหนังสืออ้างอิง หน้า ๑๐ เรื่อง "The Foundation of Social Science" กล่าวไว้ว่า
มีองค์ประกอบพื้นฐานของสังคมศาสตร์ ๓ ประการ คือ ทฤษฎี การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล มีรายละเอียด ดังนี้
๑) ทฤษฎี คือ คำอธิบายความเป็นเหตุเป็นผลของปรากฎการณ์หนึ่งๆ
๒) การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นการสังเกตุปรากฎการณ์หนึ่งๆ และพบว่าคืออะไร แล้วจดบันทึกไว้
๓) การวิเคราะห์ข้อมูล คือ การค้นคว้าหาแบบแผน (Pattern) ในเรื่องที่เราไปสังเกตุนั้น
--------------
Pattern คือ อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเกิดจากการสังเกตุ
การค้นหา Pattern จะนำไปสู่การพัฒนาเป็นทฤษฎี
--------------
*** ทฤษฎีหนึ่งอาจไม่ถูกต้องตลอดกาล เพราะความสามารถในการสังเกตุของมนุษย์มีข้อจำกัด ไม่สามารถรู้ได้ทุกแง่ทุกมุม รู้เพียงบางส่วน และบางส่วนที่รู้มาอาจมีส่วนที่เป็นจริงและเป็นเท็จ
--------------
ข้อสังเกตุในหนังสือของ Babie ได้กล่าวไว้เฉพาะเจาะจงว่า:
This book is primarily about data collection and data analysis (จะวิจัยสังคมอย่างไร). This is, how to conduct social research.
--------------
รศ. เฉลิมพล ศรีหงษ์ ได้ให้นิยามหลังจากที่ได้ศึกษารวบรวมข้อมูลงานวิจัยต่างๆ มาแล้ว ว่า "การวิจัย คือ การเก็บรวบรวมและการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่เราต้องการทราบ"
--------------
ตัวอย่างงานวิจัย: " Trouble in the Tearoom" ของ Laud Humphrey, เมื่อปี ๑๙๗๐ เป็นการศึกษาพฤติกรรมรักร่วมเพศของชายชาวอเมริกัน (Homosexual) โดยเขาอยากรู้ว่า "ทำไมผู้ชายอเมริกันบางส่วน เป็นรักร่วมเพศ"
- มีอะไรเป็นสาเหตุ
- หาแหล่งข้อมูลว่าคนเหล่านั้นไปชุมนุมกันที่ไหน
- เมื่อค้นพบว่าอยู่ที่ไหน ก็พบข้อมูลว่า แต่ละคนจะไม่รู้จักกัน สถานที่แห่งนั้น คือ ห้องน้ำสาธารณะ โดยจะเรียกกันว่าเป็น ห้องน้ำชา (Tearoom)
- จะเก็บข้อมูลอย่างไร
- พฤติกรรมหลัก คือ anonymous คือ เป็น นิรนามต่อกัน ไม่เปิดเผย
- มีแบบแผนเกิดขึ้นอย่างหนึ่ง คือ จะมีคนทั้งหมด ๓ คนที่เข้าไปด้วยกันเสมอ โดย ๒ คน จะเป็นรักร่วมเพศ และคนที่ ๓ จะเป็นคนที่มีความสุขในการดู (ผู้ดูอยู่ห่างๆ หรือ Watch queen)
- ใช้วิธีการเก็บข้อมูลแบบแอบจดทะเบียนรถยนต์ แล้วค้นหาว่าเจ้าของชื่ออะไร อยู่ที่ไหนโดยใช้ข้อมูลจากสถานีตำรวจ
- ไปหาคนๆ นั้นที่บ้านโดยปลอมตัวไป (disquising)
*** มีนักวิจารณ์ส่วนหนึ่ง วิจารณ์ว่างานวิจัยนี้ ไปรุกล้ำความเป็นสิทธิส่วนตัว (privacy) ของผู้อื่น เป็นการหลอกลวงกลุ่มตัวอย่าง (Sampler) และไม่มีจริยธรรม
*** นักวิจารณ์อีกส่วนหนึ่ง บอกว่า วิธีการนี้ คุ้มค่าแล้ว เพราะไม่สามารถใช้วิธีการอื่นและไม่ได้ทำให้กลุ่มตัวอย่างเสียหายใดๆ เพราะไม่ได้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว
--------------
ในการทำวิจัยสักเรื่อง ต้องวางแผนก่อน แต่มี ๒ ประเด็นหลัก ที่ต้องทำหรือกำหนดให้ชัดเจน คือ
๑) สิ่งที่ต้องการทราบคืออะไร ซึ่งก็คือวัตถุประสงค์ของการวิจัยนั่นเอง
๒) จะทำอย่างไร หมายถึง วิธีการเก็บรวบรวมและการวิเคราะห์ข้อมูล
--------------
๑. การตั้งชื่อเรืองงานวิจัย ให้ใช้ข้อความกระทัดรัด สื่อความหมายว่าอะไร เช่น ถ้าจะวิจัยเรื่องแรงงานเด็ก อาจตั้งชื่อว่า "สวัสดิภาพและพัฒนาการของแรงงานเด็กในสถานประกอบการอุตสาหกรรมการผลิต" ซึ่งนั่้นก็คือเรื่องที่อยากทราบ
- เริ่มจากคำสั้นๆ ก่อน
- ไม่ควรยาวเกิน ๒ บรรทัด
อีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นการวิจัยเกี่ยวกับยาปฏิชีวนะ ก็ตั้งชื่อว่า "พฤติกรรมสุขภาพในเรื่องการใช้ยาปฏิชีวนะของประชาชนในจังหวัดนครปฐม" เป็นต้น
--------------
** บทนำ
- เพื่อสื่อสารว่า เรื่องนั้นๆ มีความสำคัญอย่างไร
- มีวัตถุประสงค์ต้องการทราบอะไรบ้าง
- แจ้งขอบเขตของการวิจัย
๒. วัตถุประสงค์ของการวิจัย
*** ตัวอย่างการกำหนดวัตถุประสงค์งานวิจัย จากเรื่อง ยาปฏิชีวนะ เช่น
๑) เพื่อศึกษาระดับความรู้เกี่ยวกับยาปฏิชีวนะของประชาชน
๒) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่ถูกต้องของประชาชน ที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ
๓) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรู้และพฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะของประชาชน
๔) เพื่อศึกษาปัญหาและความต้องการของประชาชนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาปฏิชีวนะ
*** ข้อสังเกตุ จะต้องดูว่า วัตถุประสงค์ยังอยู่ภายใต้ชื่อเรื่องหรือไม่
*** ส่วนขอบเขตการวิจัย จะเกี่ยวข้องกับ สถานที่ เนื้อหา กลุ่มประชากร และระยะเวลา เช่น ศึกษาการใช้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน เน้นการใช้ครั้งล่าสุด เฉพาะในอำเภอเมืองและอำเภอกำแพงแสน ในจังหวัดนครปฐม ซึ่งถือว่าเป็นตัวช่วยหัวข้อเรื่องให้ชัดเจนยิ่งขึ้น มีกรอบที่เฉพาะเจาะจงขึ้น
--------------
- วัตถุประสงค์ หรือส่วนขยายหัวข้อเรื่องในประเด็นต่างๆ
- วัตถุประสงค์ จะเป็นการระบุไว้เพื่อศึกษาหรือเพื่อทราบเท่านั้น ซึ่งจะบ่งบอกถึงการเป็นวิชาการ ไม่เน้นการปฏิบัติ
- วัตถุประสงค์จะต้องระบุความอยากรู้ให้ชัดขึ้น ไม่ใช่เหมือนกับชื่อเรื่อง
- สรุปแล้ว วัตถุประสงค์ เป็นส่วนขยายหัวข้อเรื่องให้ทราบประเด็นต่างๆ ที่ต้องการรู้ ส่วนขอบเขต เป็นตัวช่วยชื่อเรื่องให้ชัดเจนและมีกรอบที่เฉพาะเจาะจง
*** ตัวอย่างงานวิจัยที่ไม่ถูกหลักวิชาการ เช่น เขียนวัตถุประสงค์ เพื่อแก้ไขปัญหา เพื่อการตัดสินใจ เพื่อวางแผนอนาคต หรือเพื่อการประกันคุณภาพ เป็นต้น
*** ที่ถูกควรจะเป็น เพื่อเป็นแนวทางในการ... จากข้อค้นพบของการวิจัย
*** คือเป็นประโยชน์ที่อาจได้รับจากการวิจัย
--------------
สรุปการเขียนวัตถุประสงค์ในการวิจัย
1) เพื่อศึกษา/สำรวจสิ่งใหม่ๆ ที่ยังไม่ศึกษา
2) เพื่อพิจารณาสิ่งที่ศึกษาแล้ว ว่าคืออะไร อยู่ที่ไหน และเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เกิดขึ้นอย่างไร
3) เพื่ออธิบายความเป็นเหตุเป็นผลเกี่ยวกับสิ่งที่ศึกษาว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น อะไรเป็นสาเหตุ ซึ่งจะพบเห็นในระดับวิทยานิพนธ์
*** จำไว้ว่า กำหนดวัตถุประสงค์ไว้กี่ข้อ ก็ต้องทำให้ครบทุกข้อ
*** วัตถุประสงค์ที่ดีต้องมีความเป็นไปได้ในการเก็บข้อมูล
--------------
ข้อแตกต่างระหว่างข้อมูลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ
*** ระหว่างเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณต่างกันที่ข้อมูลว่า เป็นตัวเลขหรือไม่เป็นตัวเลข
เช่น นาย ก. เป็นคนฉลาด เป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ ส่วน นาย ข. มี IQ ๑๐๐ ถือเป็นข้อมูลเชิงปริมาณ
(ดูเอกสาร Babie หน้า 25 เรื่อง Pure and Applied Research หรือการวิจัยบริสุทธิ์)
--------------
ทบทวนกันอีกครั้ง
การวิจัย คือ การเก็บข้อมูล รวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลในเรื่องที่เราต้องการทราบ มีการวิจัยอยู่ ๒ แบบ คือ เป็นงานวิจัยบริสุทธิ์ (Pure) สนองความอยากรู้ และเป็นงานวิจัยเชิงวิชาการ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility) และเพื่อทราบ
วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๓ แบบ (Babie)
๑) การศึกษา วิเคราะห์สิ่งใหม่ๆ ที่ยังไม่มีใครศึกษามาก่อน (Exploration)
๒) การพรรณา - เขียนเหมือนเล่าเรื่องว่าปัญหาคืออะไร เช่น การทำโพลล์ (Poll) เพื่อสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง (Description)
๓) การศึกษาความเป็นเหตุเป็นผล (Explanation)
--------------
QUIZ #๑
๑. ตั้งหัวข้อการวิจัย จากคำว่า "ชุมชนแออัด"
๒. เขียนวัตถุประสงค์ ๓ ข้อ
๓. กำหนดขอบเขตของการวิจัย
๔. อธิบายคร่าวๆ ว่า จะเก็บรวบรวมข้อมูลจากใครหรือจากอะไร อย่างไร (ดูจากเอกสารภาษาไทยหน้า ๑๔-๑๖)
--------------
คำตอบ: คิดกันเอง แต่มีข้อแนะนำในการเขียนวัตถุประสงค์ คือ เริ่มต้นด้วย เพื่อการศึกษา..... เพื่อให้ทราบถึง.... และเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา......ในชุมชนแออัด (ประมาณนั้น) ส่วนขอบเขตก็กำหนดว่าจะใช้ชุมชนไหน กลุ่มตัวอย่างคือใคร จำนวนเท่าไหร่ที่จะเข้าไปเก็บข้อมูล และการเก็บข้อมูลก็ทำได้หลายรูปแบบ ทั้งการสัมภาษณ์ การออกแบบสอบถาม และอื่นๆ เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งให้ชัด
--------------
๓. วิธีการวิจัย (Babie: Modes of Observation: Quantitative and Qualitative)
คำว่า Observation ไม่ได้หมายถึงเฉพาะการใช้ประสาทสัมผัสเพียงอย่างเดียว
วิธีการวิจัย ๕ วิธีตามแบบของ Babie มีดังนี้
๑) การทดลอง
** ระบุตัวแปรอย่างชัดเจนว่า อะไรคือตัวแปรอิสระ (independent) ที่มีผลต่อตัวแปรอื่น และตัวแปรตาม (dependent) ที่ได้รับผลกระทบจากตัวแปรอื่น
๒) การวิจัย (Survey Research) แบบสอบถามที่ใช้ ประกอบด้วย คำถามปลายเปิด และคำถามปลายปิด
*** คำถามปลายเปิด จะมีแต่คำถาม โดยให้ผู้ตอบคิดคำตอบเอง เช่น ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรต่อการทำงานของรัฐบาล? คำตอบจะมีความละเอียด เหมาะกับการวิจัยเชิงคุณภาพ
*** คำถามปลายปิด ผู้วิจัยจะกำหนดรายการคำถามคำตอบไว้ให้ผู้ตอบเลือกตอบ และข้อมูลที่ได้จะเป็นคำตอบสั้นๆ เป็นข้อมูลผิวเผิน เหมาะกับการวิจัยเชิงปริมาณ
(๓) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ แบ่งเป็น ๒ กลุ่ม แล้วทำกลุ่มตัวอย่างทั้ง ๒ กลุ่มให้คล้ายกันมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มควบคุม โดยไม่เข้าไปยุ่ง และกลุ่มทดลอง ที่จะต้องเข้าไปจัดการเกี่ยวกับตัวแปรตามต้องการ
*** เมื่อจะเริ่มทดลอง จะต้องวัดผลความแตกต่างก่อน (Pre-test) และหลังการทำงาน (Post-test) ว่าทำงานแตกต่างกันอย่างไร
*** ตัวอย่างการวิจัยนี้ได้แก่ การทดลอง Hawthrone Study
------------------
หลักของการออกแบบคำถาม-คำตอบที่ดีในกรณีคำถามปลายปิด มีหลัก ๒ ประการ ดังนี้
(๑) เมื่อเขียนคำถามเสร็จ จะต้องนึกว่าคำตอบที่อาจเป็นไปได้มีอะไรบ้าง เช่น เพศ [ ]ชาย [ ]หญิง เป็นต้น
(๒) คำตอบที่มีให้เลือกแต่ละข้อต้องมีความหมายแยกจากกันอย่างเด็ดขาด เพื่อให้ผู้ตอบไม่เกิดความพะว้าพะวัง หรือเกิดความไม่แน่ใจ
------------------
*** จะเอาแบบสอบถามไปใช้อย่างไร
(๑) แจกให้กลุ่มตัวอย่าง โดยให้กลุ่มตัวอย่างให้อ่านเองและตอบเอง
(๒) แบบเผชิญหน้าแล้วถาม-ตอบ (Face-to-Face)
(๓) การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์
(๔) ตอบผ่านเว็บไซต์แบบออนไลน์ (เฉพาะกลุ่มที่ใช้ Internet)
-----------------
๓) การวิจัยภาคสนาม (Qualitative Field Research : Babie หน้า ๒๙๙) มีลักษณะสำคัญ คือ นักวิจัยอาจจะแสดงบทบาทสุดโต่งอย่างใดอย่างหนึ่ง ต่อไปนี้คือ
(๑) เข้าไปมีส่วนร่วมกับกิจกรรมนั้น ทำเสมือนว่าเป็นสมาชิกของชุมชนนั้น
(๒) เป็นนักวิจัยเต็มตัวแบบเปิดเผยหรือไม่ก็ได้
(๓) เป็นนักวิจัยเต็มตัวแบบเปิดเผย
สรุป - จะเข้าร่วมในกิจกรรม และจะเปิดเผยว่าเป็นนักวิจัยแบบเต็มตัวหรือไม่ก็ได้
-----------------
*** นอกเหนือจากการเข้าไปพื้นที่เพื่อสังเกตุแล้ว ยังมีข้อมูลที่ต้องสัมภาษณ์จากคนในเชิงคุณภาพ หรือสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้วิจัยเพียงแต่มีประเด็นที่อยากรู้โดยไม่ต้องตั้งคำถามที่แน่นอนตายตัวไว้ล่วงหน้า
*** นอกจากนั้น การสนทนากลุ่ม (Focus group) และการบันทึกข้อมูลก็เป็นอีกวิธีในการหาข้อมูล
สรุปการวิจัยสนาม จะต้องเข้าพื้นที่ และเก็บข้อมูล
----------------
*** การวิจัยทั้ง ๓ วิธีข้างต้น (ทดลอง สำรวจ และสนาม) ตัวนักวิจัยจะเข้าไปรุกล้ำผู้ถูกสำรวจ
----------------
๔) วิธีวิจัยแบบไม่สำรวจ (Unobtrusive Research) ตัวนักวิจัยจะต้องไม่พยายามเข้าไปเก็บข้อมูลจากคนหรือกลุ่มเป้าหมาย
----------------
๕) วิธีวิจัยแบบประเมินผล (Evaluation Research) เป็นการวิจัยเพื่อประเมินผลกระทบ เช่น ผลกระทบของโครงการ
----------------
๔. การเก็บรวบรวมข้อมูล
- จะเก็บข้อมูลจากใคร เท่าไหร่
- จะเก็บอย่างไร
เช่น พฤติกรรมการเข้าเรียนของนักศึกษา รป.ม.
หน่วยการศึกษา: รป.ม. ทุกคน
*** หน่วยในการวิเคราะหืในการวิจัยเรื่องหนึ่งๆ ทุกหน่วยเป็นประชากรของการวิจัย
(Babie: หน้า ๑๙๙) การรวบรวมข้อมูลจากจากเรื่องใดๆ ถือ เป็นหน่วย (An element: คน องค์กร สิ่งของ)
** หน่วยทุกหน่วยของการวิจัยหนึ่งๆ เรียกว่า ประชากรของการวิจัย (Population) ***
----------------
(Babie: หน้า ๒๐๘) กรอบของการสุ่มตัวอย่าง (Sampling frame)
หมายถึง รายชื่อของหน่วยทุกหน่วยที่เป็นประชากรของการวิจัย
*** จะเลือกกลุ่มตัวอย่างอย่างไร ให้เกิดความเชื่อได้ว่ามีความเป็นตัวแทนของประชากร เพื่ออธิบายให้เห็นว่า ทุกๆ หน่วยมีโอกาสถูกเลือก
วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างเพื่อเป็นตัวแทนของประชากร ๔ วิธี ได้แก่
(๑) ใช้ประชากรทั้งหมดในกรณีถ้ามีประชากรจำนวนเล็กน้อย (Using consus for small population)
(๒) ดูจากผู้อื่นที่เคยใช้ ก็ใช้ขนาดกลุ่มตัวอย่างตามอย่างงานวิจัยอื่นที่ทำวิจัยในเรื่องคล้ายๆ กัน (Using a sample size of similar study)
(๓) ใช้ตารางสำเร็จรูป (Using published tables)
(๔) ใช้การคำนวณจากสูตรทางคณิตศาสตร์ (Using formulars to calculatate a sample size)
---------------
ตารางกลุ่มตัวอย่าง (Determining sample size)
*** ตารางของ Krejcic และ Morgan มีความน่าเชื่อถือ ๙๕% โดยมีความคลาดเคลื่อน ๕%
สามารถคำนวณโดยใช้สูตร n = N/1+Ne power 2
โดยที่ n คือ กลุ่มตัวอย่าง N คือ ประชากร และ e คือ ความคลาดเคลื่อน
*** ตารางของ Taro Yamane ก็ได้พิสูจน์มาแล้วเช่นเดียวกันว่ามีความเที่ยงตรง น่าเชื่อถือ
(ดูจากเอกสารฉบับภาษาไทยเพิ่มเติม เรื่อง ตารางของ Taro Yamane)
----------------
QUIZ #๒
สมมติ ประชากรของการวิจัยหนึ่งมีจำนวน ๕๐,๐๐๐ คน จำแนกเป็นเพศชาย ๒๕,๐๐๐ คน และเพศหญิง ๒๕,๐๐๐ คน โดยเรียงลำดับปะปนกันในบัญชีรายชื่อ
คำถาม
(๑) ถ้าใช้ตาราง Taro Yamane กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง จะต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวนกี่คน
(คำตอบ ไม่ต้องคิดซับซ้อน เป็นคำถามหลอก ดังนั้น ไม่ต้องแยก ให้คิดเป็น ๕๐,๐๐๐ คน แล้วอ้างอิงว่ามีระดับความเชื่อมั่นที่เท่าไหร่ และระดับค่าความคาดเคลื่อนที่เท่าไหร่ และต้องใช้คำว่า "ขนาดของกลุ่มตัวอย่างจากจำนวนประชากร ๕๐,๐๐๐ คน คือ .... คน" ไม่ใช่ใช้คำว่า "ขนาดของกลุ่มประชากร")
--------------------------------------------------------------
สรุปข้อมูลจากการบรรยายเมื่อ ๒๔-๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๓
--------------------------------------------------------------
5. ขนาดประชากรของการวิจัย กับ ขนาดกลุ่มตัวอย่าง และวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง
ขนาดของประชากรของการวิจัย จะหมายถึงกลุ่มประชากรที่มีจำนวนมากๆ
สวน ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง คือ หน่วยของกลุ่มตัวอย่างโดยไม่สนใจว่าแยกเป็นกลุ่มย่อยอะไรบ้าง ใช้ภาพรวมเท่านั้น
-----------------
วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง (Sampling Frame) (Babie:หน้า ๑๙๘)
- ความเป็นตัวแทนและความน่าจะเป็นของการเลือก: กลุ่มตัวอย่างที่จะเลือกจะมีความเหมือนกับประชากร
ความน่าจะเป็นของการเลือก
หลักพื้นฐาน คือ หน่วยแต่ละหน่วยที่เป็นสมาชิกในประชากรจะต้องมีโอกาสเท่าๆ กันในการที่จะถูกเลือกมาเป็นกลุ่มตัวอย่างโดยปราศจากอคติ
วิธีการเลือก
๑) วิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย (Simple Random Sampling: SRS) เช่น การจับฉลากโดยทำฉลากให้มีจำนวนเท่าจำนวนประชากรที่จะทำวิจัย หรือ การทำตารางเลขสุ่ม (Random Number) *** วิธีนี้มีความเป็นไปได้ที่จะได้ตัวแทนที่ไม่เหมือนประชากร
๒) วิธีสุ่มตัวอย่างแบบระบบ (Systematic Sampling: SS) โดยไม่ใช้เลขสุ่ม ไม่ต้องเขียนฉลาก มีเฉพาะรายชื่อประชากร จะใช้การคำนวณทุกๆ กี่คนในบัญชีจะถูกเลือกเป็นตัวอย่าง ๑ คน โดยใช้สูตร K=N/n โดย N คือ จำนวนประชากร และ n คือ ขนาดกลุ่มตัวอย่าง *** วิธีนี้ มีโอกาสถูกเลือกที่ไม่เหมือนประชากรเช่นกับ
๓) วิธีสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ (Babie หน้า ๒๑๔ : Field Sampling) โดยนำบัญชีประชากรมาแบ่งเป็นบัญชีย่อย เช่น แบ่งบัญชีตามเพศชายกับหญิง
๔) วิธีสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Babie หน้า ๒๑๘: Multistage Cluster Sampling) โดยการ (๑) แบ่งกลุ่ม และ (๒) เลือกกลุ่มตัวแทนโดยจับฉลาก
--------------
*** สาเหตุที่ต้องเลือกกลุ่มตัวอย่างเนื่องจากนักวิจัยมีข้อจำกัดหลายอย่าง
--------------
การทำบัญชีรายชื่อ (List)
- การทำบัญชีรายชื่อจะทำกี่ครั้ง หรือกี่ขั้นตอนก็ได้ จนกว่าจะได้พื้นที่ขนาดเล็กที่เหมาะกับนักวิจัย แล้วจึงไปเอารายชื่อจากพื้นที่สุดท้าย (Final list) ที่เลือกไว้ เพื่อมาใช้ในการเลือกกลุ่มตัวอย่าง
*** ทั้ง ๔ วิธีต้องมีบัญชีรายชื่ออ (Listing) อยู่เสมอ
*** หน่วยทุกหน่วย ต้องมีโอกาสถุกเลือกเท่าๆ กัน
--------------
*** ในการทำวิจัยนั้น ในบางกรณีอาจไม่มีบัญชีราชื่อ (List) แต่จะรู้เพียงว่าประชากรหมายถึงใคร เช่น การช่วยเหลือประชากรภายใต้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม จะใช้วิธีการทั้ง ๔ วิธีไม่ได้ และจะไม่ใช้หลักความน่าจะเป็น
--------------
Nonprobability sampling (Babie หน้า ๑๙๒) เช่น การสำรวจชาวกรุงเทพ ซึ่งไม่รู้ว่าใครบ้าง เพราะไม่มีรายชื่อ (List) จะได้วิธีการดังต่อไปนี้
๑) การสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ หรือตามความสะดวก (Convenience) เช่น เมื่อกำหนดจำนวนกลุ่มตัวอย่างไว้แล้ว จะใช้แบบสอบถามในการเลือกกลุ่มตัวอย่าง เพราะมีค่าใช้จ่ายน้อย
๒) การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive of Judgmental Sampling) เป็นการสืบเสาะหาข้อเท็จจริงเพื่อให้ได้บัญชีรายชื่อ (List) ไม่ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวนมาก
*** วิธีการนี้ จะใช้กับคน/หน่วยที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องที่เราจะทำการวิจัย เป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Selecting Informants) ไม่จำเป็นต้องมีมาก ใช้กับการวิจัยเชิงคุณภาพ
๓) การสุ่มตัวอย่างแบบก้อนหิมะ (Snowball Sampling) เช่น การวิจัยคนขายหวยใต้ดิน เหมือนแชร์ลูกโซ่ คือ อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างคนที่ถูกเลือกเป็นกลุ่มตัวอย่าง
๔) การสุ่มตัวอย่างแบบกำหนดโควต้า (Babie หน้า ๑๙๔: Quota Sampling) เช่น ประชากร ๒๐,๐๐๐ คน ประกอบด้วยชาย ๑๓,๐๐๐ คน และหญิง ๗,๐๐๐ คน ต้องการกลุ่มตัวอย่าง ๑,๐๐๐ คน เป็นชาย ๗๐๐ คน และหญิง ๓๐๐ คน จะใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ โดยกำหนดให้เลือกกลุ่มตัวอย่างตามที่กำหนด
----------------
วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างทั้ง ๘ วิธีข้างต้น จะเห็นว่ามี ๒ แบบที่ต่างกัน คือ แบบใช้ความน่าจะเป็น กับแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็น ขึ้นอยู่กับเรื่องที่จะทำการวิจัยว่าจะทำ List หรือไม่ต้องทำ
*** ถ้ามี List จะใช้วิธีการแบบความน่าจะเป็น (Probability)
*** ถ้าไม่มี List จะใช้วิธีการแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็น (Nonprobability)
*** ในแง่วิชาการแล้ว ทั้ง ๒ วิธีดีพอๆ กัน มีจุดเด่นและจุดด้อยต่างกัน
----------------
ทบทวน:
- ประชากรของการวิจัย คือ หน่วยทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย โดยปกติจะมีจำนวนมาก
- ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง คือ หน่วยของกลุ่มตัวอย่างประชากรที่จะนำมาใช้ในการวิจัย มี ๒ แบบ คือ แบบมีบัญชีราชื่อ จะใช้หลักความน่าจะเป็น (probability) กับแบบไม่มีบัญชีรายชื่อ จะไม่ใช้หลักความน่าจะเป็น (nonprobability)
----------------
การเก็บรวบรวมข้อมูล
๑) เก็บจากประชากรของการวิจัย หรือจากกลุ่มตัวอย่าง (ขนาดของกลุ่ม และวิธีการสุ่มตัวอย่าง)
๒) เครื่องมือและวิธีการในการเก็บรวบรวข้อมูล มีดังนี้
(๑) แบบสอบถาม (Questioniar) คือ แบบสอบถามที่เป็นคำถามปลายปิด (มีคำตอบให้เลือก โดยผู้วิจัยเป็นผู้คิดคำถามและคำตอบไว้ และคำตอบจะต้องจะต้องครอบคลุมคำตอบทุกด้านที่ไม่ทำให้ผู้ตอบเกิดความลังเล หรือเข้าใจไม่ตรงกัน) และเป็นคำถามปลายเปิด (ไม่มีคำตอบให้เลือก มีแต่คำถามเพียงอย่างเดียว)
----------------
** ตัออย่างคำถามปลายปลายปิด เช่น
- ท่านคิดว่าตุลาการรัฐธรรมนูล มีลักษณะการดำเนินงานอย่างไร
* มีความเป็นอิสระ [ ]เห็นด้วย [ ]ไม่เห็นด้วย [ ]ไม่แน่ใจ
* มีความเป็นกลาง [ ]เห็นด้วย [ ]ไม่เห็นด้วย [ ]ไม่แน่ใจ
* มีความโปร่งใส [ ]เห็นด้วย [ ]ไม่เห็นด้วย [ ]ไม่แน่ใจ
----------------
ตัวอย่างงานวิจัย: "การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนชนบทในประเทศไทย ศึกษาเฉพาะกรณี อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร"
*** สิ่งสำคัญ คือ จะต้องสร้างความชัดเจนในความหมายของเรื่องที่จะวิจัย โดยเฉพาะกรณีเป็นนามธรรม
*** ทำได้โดยการอ้างอิงจากนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญ
*** จำนวนคำถามไม่มีการกำหนดไว้ตายตัว แต่มีหลักการ คือ ดูจากวัตถุประสงค์ของการวิจัยเป็นหลัก ว่าต้องการอะไร จึงตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
*** จำไว้ว่า คำถามทุกคำถาม เป็นการรบกวนหน่วยที่ถูกเลือกเป็นกลุ่มตัวอย่าง จึงควรตั้งคำถามที่นำมาใช้ประโยชน์ สื่อความหมายได้ชัดเจน และที่สำคัญ จะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์เท่านั้น
*** ควรเป็นคำถามที่ถามเพียงเรื่องเดียวใน ๑ คำถาม คือ ต้องมี ๑ ประเด็น
*** อย่าเป็นคำตอบที่ลำเอียง เช่น เห็นด้วยมากที่สุด เห็นด้วยมาก เห็นด้วยปานกลาง เห็นด้วยน้อย และไม่เห็นด้วย
----------------
*** คำถามปลายปิดประเภทสอบถามความคิดเห็น ไม่จำเป็นต้องตอบเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยเสมอไป แต่จะอยู่ที่ประเด็นที่ถาม เช่น
- ถามว่า "การบริการของเจ้าหน้าที่
* ( )สะดวกรวดเร็ว ( )ไม่สะดวก/ช้า ( )...
*** คำถามปลายปิด นิยมใช้กับความคิดเห็น ทัศนคติ โดยแบ่งพื้นที่เป็น ๒ ส่วน คือ คำถาม กับ คำตอบ
- แยกคำตอบให้ชัดเจนออกจากัน
- ไม่สร้างปัญญาให้ผู้ตอบต้องตีความต่างกัน
- คำถามแต่ละข้อต้องมีประเด็นเดียว
*** ตัวอย่างการอ้างอิงผู้เชี่ยวชาญ เช่น Likert Scale ของ Likert มีคำตอบที่กำหนดไว้เป็นมาตรฐาน ได้แก่ เห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
----------------
*** คำถามจะต้อง:
- ชัดเจน (Make items clear)
- คำถามทีีมี ๑ ประเด็นในคำถามข้อเดียวกันจะต้องหลีกเลี่ยงอย่าให้เกิดขึ้น
- เป็นคำถามที่ผู้ตอบสามารถตอบได้ อย่าถามเรื่องเก่ามาก
- เป็นเรื่องที่ผู้ตอบเต็มใจและยินดีตอบ
- ควรคำนึงว่าผู้ตอบมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ถามหรือไม่ เพราะอาจได้รับคำตอบที่ไม่เป็นจริง
- ควรใช้ความสั้นๆ
- หลีกเลี่ยงการใช้ประโยคเชิงปฏิเสธ
- หลีกเลี่ยงคำถามแบลำเอียง
----------------
* รูปแบบในการสร้างแบบสอบถาม (Babie หน้า ๒๖๒)
- ถ้าเป็นคำถามปลายเปิด ก็ไม่ต้องมีรูปแบบชัดเจนได้
- แต่ถ้าเป็นคำถามปลายปิด จะต้องมีนิยามของคำถาม-คำตอบที่อธิบายไว้ให้ชัดและใช้สัญลักษณ์ในการเลือกตอบไว้ อาจมีการเชื่อมโยงประเด็นคำถามคำตอบ (Contingency question)
----------------
* (Babie หน้า ๒๖๖) เมื่อออกแบบคำถามแล้วเสร็จ อย่าเพิ่งนำออกไปใช้ทันที เพราะอาจทำให้ผู้ตอบไม่เข้าใจ จึงควร ทดสอบแบบสอบถามกับกลุ่มที่มีลักษณะคล้ายกลุ่มตัวอย่างก่อน และตรวจสอบความสอดคล้องโดยผู้เชี่ยวชาญ
----------------
*** การออกแบบแบบสอบถามเชิงปริมาณ
- ชื่อตัวแปร และค่าตัวแปรที่รับได้ เช่น ปัจจุบันอายุ ....... ปี Age [ ] [ ]
*** วิธีดำเนินการวิจัย
- การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก จากผู้ให้ข้อมูลหลัก (Informants : สำคัญ) คือผู้มีประสบการณ์โดยตรง มีความรู้โดยตรง
- การเสวนากลุ่ม (Focus group)
- จากเอกสาร
*** การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ตรรกะแบบอุปนัย (Inductive method)
*** สมมุติฐาน เป็นการกำหนดตัวแปรที่จะใช้เป็นกรอบในการศึกษา รวบรวมข้อมูล และเป็นข้อสงสัยที่จะวิจัยที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเป็นลักษณะใด
----------------
ตัวอย่างงานวิจัยแบบ นิรนัย (deductive) และ อุปนัย (inductive)
----------------
...
--------------------------------------------------------------
สรุปหัวข้อการสอบ :
--------------------------------------------------------------

--------------------------------------------------------------
Tai